iPhone 3Gs โดย true ของแท้มือหนึ่ง ลดกว่า 90%

ทองคำ ถือเป็นการออมในรูปแบบหนึ่งที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน โดยการซื้อขายทองในประเทศไทยจะเป็นไปในลักษณะการซื้อขายโดยผู้ซื้อและผู้ขาย ตกลงกันเอง ไม่ได้ผ่านตลาดการค้า และมีการแลกเปลี่ยนสินค้า (Physical products) เกิดขึ้นจริง ณ ราคาซื้อ-ขาย ที่กำหนดในแต่ละวัน โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ คือบุคคลทั่วไป และจะเป็นการซื้อขายทองรูปพรรณ ในรูปของเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ, กำไล, ต่างหู, ฯลฯ เพื่อสวมใส่เอง หรือเป็นของกำนัลในเทศกาลต่างๆ มากกว่าที่จะนิยมซื้อในรูปของทองคำแท่ง ซึ่งแตกต่างจากในต่างประเทศที่การซื้อขายส่วนใหญ่จะกระทำโดยนักลงทุนทั้ง สถาบันและรายย่อย มีการซื้อขายทั้งที่ส่งมอบในปัจจุบันกับการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ทองคำเป็นทางเลือกในการออมอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เมื่อพิจารณาถึงข้อดีต่างๆ ของการซื้อทองคำ เช่น เป็น แบบการออมที่มีความปลอดภัย, มีราคาซื้อขายที่ประกาศให้ทราบอย่างแน่ชัดในแต่ละวัน, เป็นการรักษาความมั่งคั่งให้กับผู้ถือครองในระยะยาว จาก การเปรียบเทียบการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำกับอัตราเงินเฟ้อ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาได้พลว่า การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำจะมากกว่าการเพิ่มขึ้นขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ยกเว้นในช่วงกลางปี 1999 มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากทองคำ ทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณสามารถนำไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย ผ่านทางค้าทองทั่วไปในราคารับซื้อซึ่งได้กำหนดไว้ในแต่ละวัน, มีความเป็นอิสระจากผลตอบแทนของหลักทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการคำนวณหาค่าความสัมพันธ์ของผลตอบแทนที่ได้จาก ทองคำกับหุ้น, พันธบัตร และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในแต่ละเดือนตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา และพบว่าค่าความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ทองคำเป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสียงจากการลงทุนในยามที่คาดว่า อัตราผลตอลบแทนจากตลาดหุ้นหรือราคาพันธบัตรมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจซื้อทองคำนั้น ควรจะต้องคำนึงถึงต้นทุนในด้านอื่น ๆ เช่น

ต้นทุนในการเก็บรักษา เนื่องจากการซื้อขายทองคำจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้าเกิดขึ้นจริง แตกต่างจากการลงทุนในหุ้น ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีการแลกเปลี่ยนจริงเกิดขึ้นก็ได้ ทำให้ผู้ซื้อทองจะต้องรับผิดชอบในการเก็บรักษาเอง หรือนำไปฝากกับธนาคารแต่ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเก็บรักษาเพิ่ม

ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อขาย โดยปกติแล้ว ราคารับซื้อและขายออกของทองคำแท่งจะมีส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ 100 บาท โดยราคาขายจะสูงกว่าราคารับซื้อ ส่วนการขายทองรูปพรรณนั้นร้านค้าทองต่างๆ จะพวกเพิ่มค่ากำเหน็จไปในราคาขายด้วย โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาทขึ้นไปต่อเส้น นอกจากนั้น ในการรับซื้อทองมักจะมีการหักค่าเสื่อมจากราคาทองรูปพรรณที่รับซื้ออีกด้วย

การถือครองทองคำไม่ได้มีการระบุกรรมสิทธิ์ความ เป็นเจ้าของอย่างชัดเจน ทำให้มีความเสี่ยงจากการถูกลักขโมยและนำไปขายต่อได้ แตกต่างกับการซื้อพันธบัตรที่ต้องมีการระบุชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพันธบัตร หรือการซื้อหุ้นที่จะต้องมีการเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ ทำให้การแอบอ้างความเป็นเจ้าของในหลักทรัพย์ทำได้ยาก

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนกำหนดราคาทองคำในประเทศนั้น ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาท/ ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาทองคำในประเทศมีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองในตลาดโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แนว โน้มการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกจากระดับปัจจุบัน จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ทองคำเป็นทางเลือกหนึ่งในการออมที่น่าสนใจ โดยปัจจัยที่ช่วยหนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ได้แก่ความต้องการซื้อทองคำแทนที่การลงทุนในสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จะยังคงดำเนินต่อไป จากความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบ ประมาณของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนหันไปให้น้ำหนักกับการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศสกุลอื่นๆ รวมไปถึงทองคำมากขึ้น

โดยข้อมูลจาก World Gold Council ได้ระบุว่า ในปี 2004 นั้น ความต้องการซื้อทองคำในโลกอยู่ที่ประมาณ 3,484 ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ8.2 จาก 3,221 ตันในปี 2003 ปริมาณทองคำในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง อันเป็นผลมาจากปริมาณทองคำที่ผลิตจากเหมืองต่าง ๆ อยู่ที่ประมาณ 2,034 ตัน ลดลงจากปี 2003 ซึ่งผลิตได้ 2,313 ตัด ถึงร้อยละ 12 นอกจากนั้น ข้อตกลงระหว่างธนาคารกลางประเทศต่างๆ 15 ประเทศในยุโรป (The 2nd Central Bank Gold Agreements : CBGA 2) ได้กำหนดให้ธนาคารเหล่านั้นสามารถขายทองคำได้สูงสุดไม่เกินปีละ 500 ตัน และยอดขายรวมตลอด 5 ปีข้างหน้า (2005-2009) ไม่เกิน 2,500 ตัน

อย่าง ไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางเหล่านั้นจะขายทองคำน้อยกว่าที่ระบุใน ข้อตกลง โดยทองคำที่อกขายโดยธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในโลกในปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 19.4 จากปี 2003

ทิศทางของปริมาณทองคำในตลาดโลกในปีนี้คงจะต้องขึ้นอยู่กับผลการประชุมระหว่าง IMF กับรัฐมนตรีคลังในกลุ่มประเทศจี 7 ในเดือน เม.ย. นี้ เกี่ยวกับการนำทองคำของ IMF มาช่วยชำระหนี้ให้ประเทศที่ยากจน ว่าจะมีข้อสรุปเช่นใด ซึ่งหากว่าการประชุมดังกล่าวมีข้อสรุปให้ IMF ขายทองคำออกมาก็อาจจะกดดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงได้

ในส่วนของปัจจัยทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกถูกกำหนดในรูปของเงินดอลลาร์ การ อ่อนค่าลงของดอลลาร์ จะทำให้ราคาทองคำในสกุลเงินนั้น ๆ ถูกลงได้ ทำให้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างราคาทองคำในตลาดโลกในรูปเงินดอลลาร์ที่เพิ่ม ขึ้น กับราคาทองที่ลดลงเมื่อแปลงให้อยู่ในรูปเงินบาท ว่าผลกระทบด้านใดจะมากกว่า ซึ่งจากการคำนวณหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงิน บาท กับราคาทองคำในประเทศตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมานั้น พบว่าในช่วงเวลาที่เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินบาทนั้น ราคาทองคำในประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า การซื้อทองคำในประเทศไทยสามารถจะเป็นรูปแบบการลงทุนประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคตนอกจากการเป็นเครื่องประดับ ทั้งนี้ คงจะต้องอาศัยความร่วมมือกันจากทั้งภาครัฐ และเอกชนในด้านต่างๆ เช่น การเพิ่มสภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายทอง โดยการสนับสนุนให้นักลงทุนสถาบันต่าง ๆ เข้ามีบทบาท ทั้งการเป็นผู้ซื้อ และผู้ขาย จากในปัจจุบันที่การซื้อขายจะอยู่แต่ในกลุ่มรายย่อย

การส่งเสริมให้มีการออกตราสารต่างๆ ที่อ้างอิงกับทองคำ เช่น ตั๋วทองคำ หรือหุ้นกู้อนุพันธ์ที่มีผลตอบแทนอิงกับราคาทอง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษาทองคำจริง ตลอดจนการผลักดันให้ทองเป็นสินค้าที่สามรถซื้อขายในตลาดล่วงหน้าได้ เช่นเดียวกับในต่างประเทศ การประชาสัมพันธ์การทำการตลาดและสนับสนุนให้เห็นถึงข้อดีของการลงทุนในทองคำเพิ่มมากขึ้น โดยการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ทั้ง หุ้น, หุ้นกู้ หรือหน่วยลงทุน ล้วนแล้วแต่มีการประชาสัมพันธ์ และมีการแข่งขันกันทำการตลาดเพื่อดึงดูดนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการลงทุนในทองคำยังมีอยู่ค่อนข้างน้อยใน ปัจจุบัน

อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้การซื้อทองคำจะเป็นช่องทางการลงทุนที่มีความน่าสนใจ แต่ก็เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนเช่น เดียวกันกับการลงทุนในตราสารประเภทอื่นๆ ซึ่งนักลงทุนจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนเช่นกัน..

อ่านต่อ...

ตะลึง...ตะลึง... ทองคำ พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดในรอบ 27 ปี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งเอา พุ่งเอา เพราะสาเหตุที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนต่างแปลกใจว่าทำไม ราคาทองคำในตลาดโลกถึงได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจัง โอมเพี้ยงจึงอาสามาแนะนำให้เก็บทองคำ อย่างแรกง่ายๆเลย เพราะว่าทองคำเป็นการเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง หรือซื้อง่ายขายคล่องนั้นเอง และราคามีมาตรฐาน รวมทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานและใช้เป็นเครื่องประดับได้อีก หรือในยามเกิดสงครามทองคำนี้แหละคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด แต่ที่สำคัญต้องเก็บให้ไกลหูไกลตาโจรนะ แต่ถ้ากลัวขโมยขโจร ก็ไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือใครจะไปฝากให้โรงรับจำนำดูแลก็ไม่ว่ากัน
หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมดอลลาร์อ่อนค่า แล้วราคาทองคำถึงได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง คำตอบก็คือทองคำถูกกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่าก็จะทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น แล้วสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าละคืออะไร? ก็เริ่มตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีความเป็นไปได้จะเข้าสู่ ภาวะถดถอย และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตลาดซับไพร์ม ที่บดบังการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้ง (0.75%) การเทขายเงินดอลลาร์ของเฮดจ์ฟันด์ จากความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกรับมานาน ไปจนถึงประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนสัดส่วนการถือทุนสำรอง ระหว่างประเทศในสินทรัพย์เงินดอลลาร์ไปเป็นสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลอื่นๆ

ราคาทองที่พุ่งกระฉูด ฉุดไม่อยู่ขณะนี้ เป็นเพราะกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เลยตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจบางภาคส่วน ยังคงบ่งชี้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่จบสิ้น ประกอบกับภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกฉุดรั้งจากวิกฤตซับไพร์มยิ่งร้ายแรงมากขึ้น ดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจดังนี้ แม้โชดดีที่เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2550 ทบทวนใหม่ขยายตัว 4.9% แต่ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจเดือนตุลาคม ลดลง 0.5% และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 87.3 จุด นั้น ก็เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัว ส่วนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งเป็นอัตราน้อยที่สุดในรอบ 2 เดือน ขณะเดียวกัน เฟดยังได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจาก 2.5%-2.75% มาอยู่ที่ 1.8%-2.5% พร้อมกับคาดว่าอัตราการว่างงานปีหน้าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.8%-4.9% จาก 4.75% ที่ประมาณการครั้งก่อน ซึ่งก็เป็นเพราะปัจจัยลบที่รุมเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ไปจนถึงราคาน้ำมันที่พุ่งไม่หยุด ด้านสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ออกมาคาดการณ์เช่นกันว่า จีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะอยู่ที่ 1.5% ชะลอลงจาก 3.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.1% น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา ว่าจะนำพาเศรษฐกิจเดินลงสู่ห้วงเหวภาวะซบเซา ก็ยังไม่เห็นสัญญาณจะดีขึ้น เนื่องจากข้อมูลต่อไปนี้ยังคงบ่งชี้ว่าปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแต่เลวร้ายลงไปทุกที โดยยอดขายบ้านมือสองเดือนตุลาคมลดลง 1.2% ร่วงต่อเป็นเดือนที่ 8 มาอยู่ที่ 4.97 ล้านยูนิต และราคาบ้านลดลง 5.1% เฉลี่ยอยู่ที่ 207,800 ดอลลาร์ แม้ยอดขายบ้านใหม่เดือนดังกล่าว เพิ่มขึ้น 1.7% มาอยู่ที่ 728,000 ยูนิต แต่ยอดขายบ้านใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 23.5% ส่วนราคาบ้าน Q3/2550 เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% น้อยที่สุดในรอบ 13 ปี และราคาบ้าน 1 ใน 3 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ไตรมาสดังกล่าว ลดลง 2% เฉลี่ยอยู่ที่ 220,800 ดอลลาร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้ยอดขายบ้านลดลง 14% มาอยู่ที่ 5.42 ล้านยูนิต ขณะที่ดัชนีราคาบ้านสหรัฐฯ Q3/50 ลดลง 4.5% ร่วงมากสุดในรอบ 20 ปี แม้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมจะเพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 1.229 ล้านยูนิต เพราะยอดการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้น แต่ยอดก่อสร้างบ้านขนาด 1 ครอบครัว ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี โดยลดลง 7.3% มาอยู่ที่ 884,000 ยูนิต ยัง...ยังไม่หมดแค่นี้ ถ้าเห็นตัวเลขการฟ้องยึดหลักประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก็ต้องอุทานคำว่า "God " แน่นอน ก็จะไม่ร้องได้อย่างไร เมื่อตัวเลขดังกล่าวใน Q3/50 เพิ่มขึ้นถึง 100.1% มีจำนวน 446,726 ราย จาก 223,233 ราย ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 33.9% จาก 333,731 ราย ในไตรมาสก่อนหน้า
ด้านกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ และลงทุนในตลาดหุ้นต่างหันไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาขาดดุลการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี ซึ่งส่งผลให้มียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจที่จะถือครองดอลลาร์มีน้อยลง ขณะเดียวกันความวุ่นวายในตลาดเงินทั่วโลก ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจากตลาดเงิน ต่างปรับพอร์ตการลงทุน หรือย้ายฐานการลงทุนเข้ามาแก้มือในตลาดทองคำ แทนการลงทุนในตลาดหุ้นที่เกิดความผันผวนจากซับไพร์มที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก
อีกปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องหนักอกของสหรัฐฯ คงหนีไม่พ้น Twin Deficit หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณพร้อมกัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำดอลลาร์อ่อนค่าไม่มีวันสิ้นสุด โดยในเดือนกันยายนสหรัฐฯยังขาดดุลการค้าสูงถึง 56.5 พันล้านดอลลาร์ แม้จะดีกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ดุลงบประมาณในเดือนตุลาคมขาดดุลเพิ่มขึ้น 12.6% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ ตราบใดที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีน ซึ่งสหรัฐฯเสียดุลการค้ามากที่สุด ไม่เร่งปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ก็อย่าได้หวังเลยที่สหรัฐฯจะหลุดพ้นจากวังวนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่ามหาศาลเช่นนี้
สุดท้ายประเทศที่พัฒนาแล้วต่างหันมาใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในย่านเอเชียใช้ทองคำเป็นทุนสำรองรวมกันประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ด้านรัสเซียก็เตรียมเพิ่มสัดส่วนทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน ซึ่งภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ได้เพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์
แล้วก็ได้ทราบสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งทะยานมาแล้ว ทีนี้เรามาดูราคาทองคำในตลาดต่างๆกันบ้าง แล้วจะได้พิจารณาว่าควรจะเก็บทองในรูปไหนดี โดยทองคำในตลาดฮ่องกง ที่ชาวเอเชียเทรดกัน ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 793.55 ดอลลาร์/ออนซ์ (ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม) และในวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 805.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ 11.6 ดอลลาร์ ส่วนทองคำในตลาดลอนดอนที่ชาวยุโรปเขาเทรดกัน วันที่ 2 พฤศจิกายน ราคาทองคำอยู่ที่ 788.85 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ และวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 798.80 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ภายในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เพิ่มขึ้น 9.95 ดอลลาร์ สุดท้ายราคาขายปลีกทองคำในบ้านเราซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณ 96.5% ขายบาทละ 13,100 บาท และรับซื้อบาทละ 12,416.04 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณขายบาทละ 13250 บาท และรับซื้อบาทละ 12567.64 บาท ภายในเวลา 1 เดือน เพิ่มขึ้น 150 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% วันที่ 1 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12,700 บาท และรับซื้อบาทละ 12,600 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12850.00 บาท และรับซื้อบาทละ 12,750.00 บาท ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 150 บาท ..เอาเป็นว่าใครจะเลือกเก็บทองในรูปแบบไหนก็เลือกสรรตามสะดวกของแต่ละคนก็แล้วกันนะ แต่อย่าลืมคาถากำกับการลงทุนที่ว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง!

อ่านต่อ...

เปิดตัวคอลัมน์วันแรก ผู้น้อยขอนำหลักการพื้นฐานอันเป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในการลงทุนมาทบทวนให้นายท่านซึ่งเป็นนักลงทุนฟังกันก่อน เพราะเมื่อกล่าวถึงความสำเร็จของการลงทุนเมื่อใด หลายท่านอาจนึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น ด้วยว่าเป็นสมรภูมิการลงทุนที่มีความเร้าใจมากที่สุด และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้เป็นรายวินาที ทำให้ลืมไปว่า ยังมีสมรภูมิการลงทุนให้เลือกอีกมากมาย และหากนายท่านเลือกได้ดีและจัดกองทัพได้เหมาะสมกับการทำศึกในแต่ละสมรภูมิแล้ว ความสำเร็จจากการลงทุนย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน ผู้น้อยขอเอาหัว (คนอื่น) เป็นประกัน เกริ่นมาอย่างนี้ คงทำให้นายท่านนึกออกแล้วว่า หลักการพื้นฐานที่เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จของการลงทุนนั้นอยู่ที่ ‘การเลือกสมรภูมิ’ นั่นเอง
การลงทุนโดยทั่วไปย่อมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ การลงทุนทางตรง เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านซักรีด ไปจนถึงกิจการใหญ่โตอย่างการสร้างสนามบิน (ในหนองน้ำที่งูเห่าชุม) ซึ่งความสำเร็จของการลงทุนประเภทนี้เบื้องต้นก็ต้องมาจากการเลือกสมรภูมิ หรือ กิจการที่มีอนาคตเป็นหลักเช่นกัน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการลงทุนประเภทที่ 2 นั่นคือ การลงทุนทางอ้อม หรือ ที่เรียกกันว่า ‘การให้เงินทำงาน’ ซึ่งมักเกิดปัญหาตรงที่เงินเกิดดื้อด้านไม่ยอมทำงานให้เราแถมบางครั้งยังหนีไปอยู่กับคนอื่นเสียอีก แต่ปัญหานี้ไม่ยากเกินจัดการหากนายท่านเข้าใจธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของแต่ละสมรภูมิการลงทุน ก่อนที่จะเลือกทำศึกในชัยภูมิที่สอดคล้องกับจุดแข็งและความแข็งแกร่งด้านจิตใจของท่านเอง ถ้าจิตใจของท่านอ่อนไหวดุจดรุณีน้อยที่เกิดมาบนโลกอันโหดร้าย ก็ไม่สมควรออกศึก แต่ควรให้เงินนอนนิ่งอยู่ในธนาคารที่มีรัฐบาลเป็นประกัน แต่ถ้าหัวใจของท่านแข็งแกร่งดุจหินผาก็กระโจนสู่การนองเลือดในตลาดหุ้น เวลาที่ตัวเลขสีแดงครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดานได้เลย แต่ก่อนที่จะประเมินความแข็งแกร่งของจิตใจท่านเอง ผู้น้อยขอกล่าวถึงสมรภูมิการลงทุนที่น่าสนใจให้ท่านได้สร้างความคุ้นเคยให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เวลาออกศึกจะได้มั่นใจ

ผู้น้อยขอเริ่มจากสมรภูมิที่มี่ความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘ตลาดตราสารหนี้’ เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงเงินฝากที่เราทราบกันดีว่ามีความเสี่ยงต่ำเพียงใด ส่วนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้ลงทุนในตลาดตราสารหนี้หลักๆก็มี พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรแบงก์ชาติ หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียน ในประเทศที่ตลาดเงินพัฒนาเต็มที่แล้วยังมีพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์การปกครองระดับต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การพัฒนาเขตการปกครองส่วนภูมิภาคหรือท้องถิ่นมีความคล่องตัวมาก ที่กล่าวมานี้เป็นบรรดาตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีก็อย่างเช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก เป็นต้น แต่พวกลูกผสมอย่าง ตราสารหนี้กึ่งทุนที่ออกโดยสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่า ไฮบริดบอนด์ หรืออย่างหุ้นกู้แปลงสภาพ ผู้น้อยจำต้องขอยกไปสาธยายกลไกการทำงานของมันให้เข้าใจถ่องแท้ในโอกาสต่อไปเพื่อให้สมกับที่อาสาเป็นกุนซือให้กับนายท่าน แต่ตอนนี้ขอกล่าวถึงธรรมชาติของตลาดตราสารหนี้ก่อนก็แล้วกัน
ตลาดสารหนี้มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสมรภูมิการลงทุนใดเหมือน นั่นคือการให้ผลคอบแทนที่คงที่ หรือ ค่อนข้างคงที่ จัดเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ หรือ ตายตัว ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘fixed-income assets’ ซี่งผลตอบแทนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะจ่ายในอัตราเท่าไร จะจ่ายคงที่ หรือ ลอยตัว จะจ่ายทุกๆไตรมาส ครึ่งปี หรือ 1 ปี และที่สำคัญคือการกำหนดอายุ หรือ กำหนดคืนเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้ เป็นการบอกว่า เขาต้องการยืมเงินของนายท่านนานแค่ไหน เพื่อให้นายท่านได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนว่า พร้อมที่จะเป็นเจ้าหนี้เขาหรือไม่
หลังจากทราบเงื่อนไขของตราสารหนี้ที่นายท่านสนใจแล้ว ลำดับต่อไปต้องมาดูที่ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารว่ามีโอกาสเบี้ยวหนี้หรือ ไม่ ซึ่งโชคดีได้ตกเป็นของนายท่านที่มีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ อันดับเครดิตทั้งระดับโลก และ ระดับประเทศคอยจัดเรทติ้งให้ท่านทราบว่าตราสารหนี้แต่ละตัวนั้นมีความ เสี่ยงอยู่ในระดับใด สถาบันจัดอันดับเครดิตมีตั้งแต่ 3 บิ๊กระดับโลกอย่าง แสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี มูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส และฟิทช์เรทติ้งส์ จนถึงระดับท้องถิ่นของเราอย่างทริสเรทติ้งส์ ซึ่งทั้งหมดใช้ระบบการจัดเรทติ้งที่เป็นมารตรฐานเดียวกัน โดยกำหนดให้ตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไปเป็นระดับที่น่าลงทุน ส่วนที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าววถือเป็นระดับเก็งกำไร หรือ เป็นระดับ ‘junk bond’ เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หรือ มี ‘default risk’ สูง แต่ผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตต่ำๆมักแก้เกมด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ย ที่สูงเข้าตำรา high risk high return เพื่อให้ตราสารหนี้ขายออก สำหรับบ้านเรานั้นตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร เนื่องจากผู้กำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนของเรามีความพิถีพิถันรอบคอบและไม่ ยอมให้ผู้ออกตราสารที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มี ความเสี่ยงเกินรับได้เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตลาดทุนในประเทศเป็น สำคัญ
แต่อย่างไรก็ดี การได้ครอบครองตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอยังไม่ถือเป็นชัยชนะในสมรภูมิการลงทุนนี้ เนื่องจากนายท่านยังต้องเอาชนะปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ประการ ซึ่งถึงเเม้ไม่สามารถทำให้นายท่านหมดตัว หรือ สูญเงินต้น แต่ก็สามารถทำให้นายท่านต้องกุมขมับพร้อมคร่ำครวญว่า ‘กินดอกเบี้ยแบงก์ดีที่สุด’ นั่นเพราะตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำเสียแล้ว ปัจจัยที่ว่าคือ เงินเฟ้อ กับ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย
จริงอยู่เมื่อแรกซื้อตราสารหนี้ชุดใดชุดหนึ่งท่านย่อมเลือกชุดที่ให้ผลตอบ แทนสูงสุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ถ้าจะให้ดีต้องมีอายุสั้น หรือ ไถ่ถอนได้เร็วประมาณ 3-5 ปีกำลังเหมาะ คือเหมาะสำหรับนายท่านที่เป็นรายย่อยเพราะไม่ต้องไปหาสภาพคล่อง หรือ ปล่อยของในตลาดรองตราสารหนี้ที่ต้องเปิดพอร์ตตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เพียงแต่ท่านซื้อตราสารหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัด จำหน่ายซึ่งจะกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเช่น 100,000 บาทขึ้นไป แล้วถือรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆรอเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน หรือ โชคดีหน่อยก็อาจมีการรับซื้อคืนเป็นระยะๆก็พอ แต่ทีนี้มันมีความเสี่ยงอยู่ว่า หากท่านซื้อตราสารหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี หลังจากผ่านไป 2 ปี ดอกเบี้ยเงินฝากประจำขึ้นไปอยู่ที่ 6% ต่อปี ส่วนเงินเฟ้ออยู่ 4.5% ต่อปี ขณะที่ตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่มีอายุ 6 ปี จึงเหลือเวลาอีก 4 ปีถึงจะไถ่ถอนได้ สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือ ภาวนาให้ลูกหนี้ที่ออกตราสารหนี้นั้นไถ่ถอนก่อนกำหนด เพื่อที่สภาพคล่องจะได้กลับมาอยู่กับท่านอีกครั้ง และก็ไม่ต้องทนทุกข์กับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แถมเอาชนะเงินเฟ้อได้เพียง 0.5% (อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% - เงินเฟ้อ 4.5% = อัตราผลตอบแทนแท้จริง 0.5%) เป็นอันว่า การลงทุนในสมรภูมินี้ให้ประสบความสำเร็จ ท่านยังต้องสามารถประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยได้ อีกทั้งต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขด้านเวลาที่ผู้ออกตราสารหนี้กำหนด มา และในเมื่อท่านมีกุนซืออย่างผู้น้อยอยู่ทั้งคน ก็ไม่จำเป็นต้องไปคร่ำเคร่งศึกษาตำราเศรษฐศาสตร์ มหภาคจนเชี่ยวชาญในการคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้เสียเวลา ทำการใหญ่ของนายท่าน เพราะผู้น้อยจะขอเสนอวิธีรัดในการตัดสินใจให้นายท่านลองพิจารณา

อ่านต่อ...

ซานฟรานซิสโก (MarketWatch) -- ทองคำตลาดล่วงหน้าได้ไต่ระดับสู่จุดสูงสุดเหนือ 700 เหรียญ ย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังไม่เคยซื้อขายใกล้ระดับนั้นอีกนับแต่นั้นมา
เมื่อทองคำถึงระดับ 728$ ในเดือนพฤษภาคม "มีความตื่นเต้นกันอย่างมาก" ทำให้คิดกันไปถึง 1000 เหรียญ หรือกระทั่ง 2000 เหรียญ หรือสูงไปกว่านั้น Steven Jon Kaplan นักเขียนอาวุโสจาก TrueContrarian.com กล่าว
"นับตั้งแต่นั้น, เศรษฐกิจโลกเริ่มจะชะลอตัวลง และทำให้ดีมานด์ความต้องการโภคภัณฑ์ลดลงไปด้วย"

เวลานี้ ราคาได้เริ่มต้นแสดงสัญญาณบางอย่างออกมา จากสถานการณ์กิจกรรมนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือและอิหร่าน และสหรัฐได้กล่าวหาซีเรียว่ามีแผนการณ์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลของเลบานอน US ดอลล่าร์ยังเสียมูลค่าและการแข่งขันจากการอ่อนตัวลงของสกุลเงิน นักวิเคราะห์กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะกระตุ้นให้ซื้อทองคำเป็นทางเลือกในการลงทุน
และเบื้องหลังอย่างนั้น ทำให้ยากที่นักวิเคราะห์ราคาทองคำจะยอมแพ้การทำนายราคาทองคำที่ 1000 เหรียญ -- แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่าระดับดังกล่าวจะไกลออกไปอย่างน้อยก็เป็นปี จากการทำนายตอนแรก

"เราจะไม่แปลกใจที่จะเห็นราคาทองคำที่ระดับ 1000 เหรียญ หรือกว่านั้น เร็วที่สุดอาจเป็นบางช่วงของปี 2007 และช้าที่สุดในปี 2009" Julian Phillips นักวิเคราะห์จาก GoldForecaster.com กล่าว
ในระยะสั้นแล้ว "ทองคำดูจะขึ้นเพราะความต้องการใช้งานจริง หรือ physical demand ซึ่งตอนนี้ได้เพิ่มการกลับเข้ามาของเฮดฟันด์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของขาขึ้น" เขากล่าว
"การขาดแคลนน้ำมันที่อาจเกิดขึ้นได้และแรงกดดันที่จะตามมา และตอนนี้มากกว่าคำว่าอาจจะ คือการขาดเสถียรภาพของระบบการเงินโลก เมื่อดอลล่าร์เริ่มออกอาการเป็นหนอง" ซึ่งเหล่านี้จะสนับสนุนราคาทองคำในระยะกลางและระยะยาว เขากล่าว

วิกฤติดอลล่าร์
กุญแจสำคัญของการขึ้นของราคาทองคำคือการตายของดอลล่าร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีเลือกตั้ง
"เงินร้อนที่ไหลเข้ามาเมื่อต้นปีแทบจะไปหมดแล้วและทองคำที่ขึ้นๆลงๆจะกลับ สู่ภาวะปกติ" Peter Grandich นักเขียนจาก the Grandich Letter กล่าว
"การลดลงของดอลล่าร์ดูจะเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้ทองคำค่อยๆขึ้นไปทำ new high อย่างช้าๆ ในปี 2007" เขากล่าว
"ดอลล่าร์จะอ่อนแอลงกว่าที่เป็นมา" Ned Schmidt นักเขียนจาก the Value View Gold Report ยืนยันความเชื่อที่ตลาดหมีของ US ดอลล่าร์จะเร่งเข้ามาเร็วขึ้น หลังการเลือกตั้ง
"ทองคำจะเป็นทางเดียวที่จะป้องกันผลจากการเลือกตั้ง ถ้าเดโมแครกชนะ ทองคำจะขึ้น และถ้ารีพลับริกันชนะ ทองคำก็จะขึ้น" ทั้งสองพรรค .. เกิดภาวะสูญญากาศผู้นำ
ขณะที่ "ภาระหนี้ที่มากเกินไปของธนาคารกลางทั่วโลกจะใกล้สู่ระดับวิกฤติ" Schmidt กล่าว และธนาคารกลางต่างๆจะลดการถือครองหนี้สินสกุลดอลล่าร์ ซึ่งจะทำให้ดอลล่าร์อ่อนลงอีก
และเศรษฐกิจจะเข้าสู่ความตกต่ำในไตรมาสแรกของปี 2007 ยังความตกต่ำแก่ดอลล่าร์เพิ่มไปอีก

โดยรวม การเคลื่อนย้ายจากสกุลเงินดอลล่าร์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การค้าขาดดุลย์มากขึ้นและมากขึ้น ดอลล่าร์อยู่ในปัญหาที่เลวร้ายมาก ดังนั้นนักลงทุนในทองคำรู้ถึงความเสี่ยงในช่วงขาขึ้น ก็แค่นักค้าจะดึงราคาทองคำต่ำลงเพื่อเพิ่มโอกาสเข้ามาในช่วงระดับที่ลดราคา Peter Spina จาก GoldSeek.com แสดงความเห็น

จุดแตกหักในตะวันออกกลาง
อีกเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้ทองคำขึ้นคือสิ่งที่ตลาดแทบจะไม่สนใจในช่วงหลัง: คือความตึงเครียดที่เกิดขึ้นใหม่ในตะวันออกกลาง

"เหตุผลที่แข็งแกร่งที่สุดที่ควรจะถือทองคำเดี๋ยวนี้คือความจริงที่เรามี เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำจอดอยู่นอกขายฝั่งอิหร่าน" Ralph Preston III ผู้บริหารบัญชีของ Heritage West Financial Inc. ฐานในซานดิเอโก กล่าว
และซาอุดิอารเบียได้วางกำลังกองทัพเรือและกองกำลังพิเศษเพื่อป้องกันตามจุด ต่างๆรอบๆ Ras Tanura สถานีน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก Preston กล่าว ข่าวรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่อัล-ไคดาจะโจมตีสถานีน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย
และการท้าทาย UNSC ของอิหร่าน เรื่องการให้หยุดพัฒนายูเรเนียม -- และกับจีนและรัสเซีย ต่อต้านการกระทำใดๆที่จะลงโทษอิหร่าน
บทบาทของสหรัฐ "ในการปกป้องเศรษฐกิจโลก ในการรักษาความมั่นคง, ราคาที่ถูก, และการรักษาความปลอดภัยการนำน้ำมันออกจากตะวันออกกลาง ดูเหมือนกำลังจะถูกทดสอบ" เขากล่าว
Preston ชี้ให้เห็น "หลังการปฏิวัติในอิหร่าน ในปี 1979 การส่งออกน้ำมันเสียระบบและทองคำได้ทำราคาสูงสุดตลอดกาลในเวลาอันสั้น"

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ดูจะคัดค้านแนวคิดขาลงของทองคำ แต่ยังมีบางส่วน
"ราคาที่ลดลงน่าจะมาจากการตกต่ำอย่างฮวบฮาบของราคาน้ำมันไปสู่ 35 เหรียญต่อบาเรล, การอ่อนลงของอิสลามทั่วโลก, การค้าเกินดุลของสหรัฐและการค้าขาดดุลของจีน"

Kaplan จาก TrueContrarian.com ไม่เชื่อว่าทองคำจะรักษาการฟื้นตัวนี้ไว้จนกว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"เมื่อเฟดลดดอกเบี้ย จะทำให้การจ่ายดอกเบี้ยต่ำลง อัตราที่แท้จริงของผลตอบแทนลดลงจะทำให้ทองคำแข่งขันได้มากขึ้นจากการเป็น ทางเลือกในการลงทุน" เขาอธิบาย

Brien Lundin นักเขียนจาก Gold Newsletter ให้มุมมอง "อันตรายเบื้องต้น" ต่อภาวะกระทิงสำหรับทองคำ จากการที่ เกิดผลกระทบอย่างแรงในเศรษฐกิจเอเชีย "ซึ่งจะนำไปสู่ทั้งความต้องการใช้งานจริงจากฝั่งตะวันออก และ ตลาดกระดาษ(สัญญา)ในฝี่งตะวันตก ละทิ้งทองคำชั่วคราว" แต่เขาคาดว่าจะไม่เกิดขึ้น

สำหรับราคาน่าจะอยู่ราว 650-850 เหรียญในช่วงสิ้นปี ตามคำกล่าวของ Phillips.
อาจมีการซื้อขายกันในช่วง 800-900 เหรียญ ตอนสิ้นปี 2007 ตามข้อมูลจาก Value View Gold Report ของ Schmidt
และอาจถึงกระทั่ง 1400 เหรียญต่อออนซ์ ตอนสิ้นปี 2010

อ่านต่อ...

ทองคำ, ตลาดกระทิง หรือ หมี?

ทิศทางพื้นฐานของทองคำยังคงเป็นบวกนับตั้งแต่วิกฤตทั้งหลายที่ขับเคลื่อน ทองคำคงชี้ราคาทองคำสูงขึ้นต่อไปในปีต่อๆไปข้างหน้า .. ,มันไปไกลเกินขอบเขตการ update เล็กๆนี้จะอธิบายในรายละเอียด แต่ ปัจจัยหลักคือ
* US ดอลล่าร์
* ดีมานด์/ซัพพลาย
* น้ำมัน

US ดอลล่าร์

การ รักษาดอลล่าร์ที่ระดับนี้ ต้องใช้เงินต่างประเทศเข้ามาถึง 3 พันล้านดอลล่าร์ต่อวันทำงาน ณ จุดหนึ่ง โลกจะบอกว่า พอก็พอ ดอลล่าร์ที่ตกต่ำลงจะเปลี่ยนไปสู่การขึ้นของราคาทองคำ..

พาดหัวอย่างนี้ แน่นอนว่าไม่เสริมความเชื่อมั่นในดอลล่าร์เลย


ช่องว่างการค้าสหรัฐขยายกว้างทำสถิติ 68 พันล้านดอลล่าร์ในเดือนกรกฎาคม

วอชิงตัน (MarketWatch) -- การค้าสหรัฐขาดดุลขยายวงกว้างถึง 5% ในเดือนกรกฎาคม ทำสถิติ 68 พันล้านดอลล่าร์ ตามรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ แซงหน้าสถิติเดือนตุลาคมที่ทำไว้ 66.6 พันล้านดอลล่าร์


เอาล่ะ, การขาดดุลที่มีอยู่ตลอดมาจะจบมั๊ย? ล้มละลายมั๊ย?
กรุณาอย่าคิดว่าไอเดียนี้ประหลาดนะครับ ตามความเห็น ศาสตราจารย์ Laurence Kotlikoff (นักเศรษฐศาสตร์สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของประธานาธิบดี สมัยเรแกน) สหรัฐกำลังมุ่งไปสู่การล้มละลายอย่างแน่นอน อ้างมาจาก the Daily Telegraph เมื่อเร็วๆนี้

งบประมาณขาดดุลที่ใหญ่เหมือนลูกโป่งและเงินบำนาญและระเบิดเวลาสวัสดิการจะ ส่งเศรษฐกิจของอภิมหาอำนาจไปสู่การล้มละลาย ตามการวิจัยโดยศาสตราจารย์ Laurence Kotlikoff สำหรับเฟดแห่ง เซนต์หลุยส์ หนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของเฟด

ศาสตราจารย์ Kotlikoff กล่าวว่า การวัดค่าบางอย่างบอกว่า สหรัฐได้ล้มละลายแล้ว "แปลความตามดิกชันนารี่ภาษาอังกฤษฉบับอ๊อกฟอร์ดคือ สหรัฐอเมริกาได้หมดสิ้นทรัพย์สิน หมดเกลี้ยง ล่อนจ้อน แร้งแค้น ขาดคุณสมบัติหรือสูญเสียจากผลของความล้มเหลวในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้" ตามการวิเคราะห์ของเขา
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาล้มละลายไปแล้ว ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถชำระหนี้แก่เจ้าหนี้

คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์สร้างจรวดถึงจะเข้าใจ เงินทุนสำรองของโลกซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยประเทศที่กำลังจะล้มละลายจะไม่ สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ดังนั้น การออกไปของผู้คนจำนวนมากจากดอลล่าร์ สามารถคาดได้ในปีต่อๆไปที่กำลังมาและและในความจริงมันกำลังมาแล้ว ดังนั้น ถ้าออกจากดอลล่าร์แลัวจะไปไหน? เมื่อเงินกระดาษหมดความน่าเชื่อถือ มีเพียงทองคำที่เป็นทางเลือก

นั่นคือสาเหตุว่าทำไม คุณถึงได้ยินการคุยกันเกี่ยวกับรัสเซีย จีน อาเจนติน่า เกาหลี และอื่นๆ กำลังเพิ่ม (หรือมีแผนที่จะเพิ่ม) การสำรองทองคำ ... ใช่เลย, ทองคำคือเงินตราและกำลังคลานกลับมาสู่ระบบเงินตราอย่างช้าๆอีกครั้ง

George Kapasakis นักค้าเงินอาวุโสขาก Mizuho Corporate Bank ในซิดนีย์กล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า
"ธนาคารกลางทั้งหลายจะใช้ทองคำเป็นสกุลเงินที่ 4 แทน US ดอลล่าร์, ยูโร และ เยน" เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน ทองจะเพิ่มความแข็งแกร่ง

ยากที่จะเถียง เมื่อคุณเห็นพาดหัวซ้ำๆ อย่างนี้

จีนควรจะซื้อทองคำ, ที่ปรึกษาธนาคารกลางกล่าว

จีนควรจะใช้ทุนสำรองต่างประเทศของตนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซื้อทองคำและน้ำมันเป็นเครื่องป้องกันการตกต่ำอย่างกระทันหันของ US ดอลล่าร์


การหนีออกจากดอลล่าร์จะส่งผลให้ดอลล่าร์ตก มันง่ายๆอย่างนั้นแหละ! การตกของดอลล่าร์เป็นมิตรกับทองคำ (และโลหะอื่น) เพียงแค่พื้นฐานเรื่องดอลล่าร์ตกต่ำ มันยังไม่เหมือนอย่างที่บอกทั้งหมด ทองคำก็ถูกมองว่าถึงจุดสูงสุดซะเรียบร้อยแล้ว

ดีมานด์/ซัพพลาย

ความ ต้องการทองคำเพิ่มขึ้นในแต่ละปี อินเดีย ประเทศที่ใช้ทองคำมากที่สุดในโลกถูกคาดหมายว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้น จากระดับ 800 ตันเป็น 981 ตันในปี 2010 และ 1153 ตันในปี 2015 ตามข้อมูลของ Associated Chambers of Commerce and Industry หรือ สมาคมหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย แล้วซัพพลายจะมาจากไหนในปีที่กำลังจะมาถึง ใครจะจัดการกับดีมานด์/ซัพพลายที่ขาดไปมากเกิน 1500 ตันต่อปี?

ไม่ใช่ผู้ผลิตทองคำแน่ ตั้งแต่ผลผลิตจากเหมืองคงที่และลดลงในอีกหลายปีต่อไป พาดหัวอย่างนี้ จะบอกตัวมันเอง

ผลผลิตทองคำจาก SA gold ตกลง 7.2% ปี/ปี

12/9/2006 12.34
โยฮันเนสเบิร์ก - South African gold มีผลผลิตลดลง 7.2% ในเชิงปริมาณในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ผลผลิตจากเหมืองโดยรวมลดลง 0.8% เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว

ผลผลิตทองคำจากออสเตรเลียประจำปีลดลง 5%

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 13.12 AEST
ผลผลิตประจำปีจากออสเตรเลียลดลง 5% ผลผลิตทองคำที่ลดลงทั่วโลกใน 4 ปีต่อไปจะทำให้เกิดการแย่งชิงทองคำ

ประธาน Newmont นาย Pierre Lassonde กล่าวว่า
ผลผลิตที่ลดลงจะดำเนินไปอย่างน้อยที่สุดอีก 2ปีเพราะอุตสาหกรรมไม่ได้เติมเงินลงไปในดินเมื่อราคาทองคำมันยังถูกมาก

น้ำมัน

นักวิเคราะห์หลายคนประกาศว่า ตลาดกระทิงน้ำมันจบแล้วในสัปดาห์นี้ เออ, ไม่แปลกเหรอ สิ่งที่เราต้องทำคือหลีกเลี่ยงราคาน้ำมันที่สูงเพื่อให้ได้สิ่งที่แตก ย่อยออกมาจากตลาด วาดภาพตลาดหมี และปัญหาได้รับการแก้ไขอีกครั้ง มันไปไกลเกินกว่าที่จะมาอธิบายว่าทำไมน้ำมันไม่ลงในปีต่อๆไปที่จะมาถึง แต่ผู้อ่านทั้งหลายสามารถไปดูเนื้อหาของทองคำและน้ำมันใน Gold Drivers Report ได้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะคงที่ที่ระดับนี้ นับแต่นี้ไป (ซึ่งผมไม่เชื่อ) ราคาทองคำยังน่าจะอยู่แถวๆ 1000$ อยู่ดี ตามประว้ติค่าเฉลี่ยของน้ำมันและทองคำ..

สุดท้าย ถ้าคุณไม่เชื่อว่าทิศทางพื้นฐานของทองคำเป็นขาขึ้น คุณก็ไม่ต้องไปลงทุนอะไรเกี่ยวกับทองคำเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณถูกโน้มน้าวว่าขาขึ้นของทองคำจะมีต่อไปอีกหลายปี (อย่างที่ผมกำลังทำ) ก็แค่หาจุดที่จะเป็นโอกาสในการซื้อ เรามีโอกาส 6ครั้งสำคัญนับตั้งแต่ปี 2001 และผมมีความเชื่ออย่างมากว่า เรากำลังเข้าใกล้โอกาสนั้นอีกครั้ง

อ่านต่อ...

นักวิเคราะห์และนักค้าให้ภาพที่คละกันในทิศทางของเงินสดและราคาทองคำในอนาคตที่น่าจะเป็นไปได้

ภาวะ กระทิงอ้างถึงฤดูกาลที่แข็งแกร่ง ความเชื่อว่าความตึงเครียดในโลกยังคงดำเนินต่อไปเพราะปัจจัยอย่างนิวเคลียร์ ของอิหร่านและความเป็นไปได้ที่ดอลล่าร์ยังจะอ่อนลงอย่างต่อเนื่องต่อไป

ภาวะ หมีตั้งข้อสงสัยในราคาที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโภคภัณฑ์เริ่มเสื่อมถอยลง และธนาคารกลางจะจำกัดเงินเฟ้อซึ่งพอที่จะทำให้นักลงทุนหยุดการใช้โลหะเป็น เครื่องป้องกันเงินเฟ้อ

ทองน่าจะไหลลงถ้าบรรดาโภคภัณฑ์ทั้งหมดอ่อนลงและความตึงเครียดในตะวันออก กลางไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม Jim Steel รองประธานอาวุโสและนักวิเคราะห์โลหะของ HSBC กล่าว

"มันขึ้นอยู่กับ ดอลล่าร์" เขากล่าว "ถ้าตลาดเห็นการสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยและดอลล่าร์อ่อน นั่นจะเพิ่งความกระฉับกระเฉงให้กับตลาดทองคำ แต่ถ้าไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยแนวต้านจะต่ำลงมา"

Gijsbert Groenewegen หุ้นส่วนจัดการ Gold Arrow Capital Management มองราคาทองคำขึ้นไปสูงถึง 850$ - 900$ ในเดือนต่อๆไปข้างหน้าเพราะปัจจัยฤดูกาลและความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะ ดำเนินต่อไป

"ผมว่า เราน่าจะเห็นการขึ้นอย่างสวยงามในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม" เขากล่าว "ตามฤดูกาลมันเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่ง" ความต้องการโลหะปกติจะเริ่มดีขึ้นอีกครั้งก่อนคริสต์มาสและวันหยุดอื่นๆทั่ว โลก เขากล่าว

โดยมากโฟกัสของทองคำจะขึ้นกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตร มาสที่ 3 ด้วย และขึ้นกับความกลัวเงินเฟ้อจะลดลงหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น การขึ้นดอกเบี้ยของ US อาจจะจบสิ้น ซึ่งจะกัดกร่อนดอลล่าร์ และจะเพิ่มราคาโลหะมีค่า Mr. Groenewegen กล่าว

โลหะเงินก็ให้การ สนับสนุนราคาทองคำ โดยเฉพาะถ้า Barclays' iShares Silver Trust ประสบผลสำเร็จในการผลักดัน exchange-traded fund ที่เริ่มไปเมื่อต้นปี เขากล่าวเสริม

"และนั่นจะมีส่วนในการส่งเสริมราคาด้วยเพราะของในคลัง ลดลงและเหลือไม่มากแล้ว" Mr. Groenewegen กล่าว เงินน่าจะขึ้นไปราว 15$-25$ ต่อออนซ์ ขึ้นกับความต้องการจริงในตลาด

Dan Vaught นักวิเคราะห์จาก A.G. Edwards กล่าวว่าเขาไม่ได้มองในแง่ดีนักเกี่ยวกับภาพของราคาทองคำในช่วงปลายฤดูร้อน และการร่วงลงก่อนหน้านี้จากหลายปัจจัย

นี่จะลดภาพเงินเฟ้อที่เห็น ซึ่ง Mr. Vaught กล่าวว่า น่าจะสร้างความเสียหายกับราคาจากหลายตลาดที่เข้ามามีส่วนซื้อทองคำเพื่อ ป้องกันเงินเฟ้อ

นักวิเคราะห์แนะว่า ราคาทองคำที่สูงตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิน่าจะมาจากความต้องการในภาคเครื่องประดับ โดยเฉพาะจากผู้บริโภคแต่ดั้งเดิมอย่างอินเดียและตะวันออกกลาง

Mr.Vaught กล่าวว่า เขาไม่ประหลาดใจถ้าทองคำจะกลับมาถึงระดับแถวๆ 550$ แต่มันอาจตกไปไกลได้ถึง 475$ แต่ยังคงอยู่ในรอบขาขึ้น 5 ปี

เขา กล่าวว่า ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาให้สูงขึ้นแทนที่ความตึงเครียดในปัญหานิวเคลียร์ อิหร่านและการก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น โลหะควรจะขึ้นจากการซื้อในช่วงเทศกาลวันหยุด

"ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นความแข็งแกร่งตามฤดูกาลบางส่วนจากการเข้าสู่ไตรมาสที่ 4" เขากล่าว

ขณะ ที่ Peter Grandich นักเขียนจาก the Grandich Letter บรรยายลักษณะของดอลล่าร์เหมือน "ผู้ป่วยระยะสุดท้าย" การอ่อนของดอลล่าร์จะโน้มน้าวกระตุ้นให้ซื้อทองคำ


"ประการแรกและ สำคัญที่สุด ธนาคารกลางยังคงผลักดันความเข้มงวดทางการเงินอย่างต่อเนื่องและลดสภาพคล่อง ลง" เขากล่าว "แม้ว่าเฟดจะหยุดในเวลานี้ เรายังคงเห็นธนาคารกลางอื่นๆยังคงเข้มงวด รวมถึงจีนที่ขึ้นดอกเบี้ยไป"

อ่านต่อ...

ตอนปี 2540 เกิดวิกฤตฟองสบู่เศรษฐกิจเมืองไทยแตกพอดี วันๆไม่ได้ขาย รับซื้อแต่ทองเก่าเข้า สมัยนั้นสมาคมฯ ทำราคาต่ำกว่าเมืองนอกร่วม 200-300 บาท แต่ทุกคนก็ Happy ที่จะขาย แม้จะมีบ่นบ้างว่า น่าจะได้มากกว่านั้น วันนี้ เกือบ 10 ปีแล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไป ผู้คนมีความสนใจข้อมูลข่าวสารมากขึ้น โดยเฉพาะข่าวสารที่รวดเร็วจาก internet ราคาทองคำเมืองนอก รับรู้ถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว ข้อมูลเปิดกว้าง แต่ก็ไม่มีความชัดเจนจากสมาคมค้าทองคำว่าคิดราคาประกาศเป็นราคาทองคำเมือง ไทยอย่างไร ทำไมถึงไม่เท่ากับที่คำนวณได้ มีสูตรยังไงกันแน่ สมาคมฯเองคงลังเลที่จะตอบคำถาม ทั้งที่จริงๆ มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้

ราคาประกาศของสมาคมค้าทองคำ มีไว้เพื่อให้ร้านทองทั่วประเทศใช้อ้างอิงซื้อขายทองคำในราคาเดียวกัน เรียกว่า เป็น Fix Price ของราคาทองคำเมืองไทย ประมาณนั้นแหละครับ
สิ่งที่รู้กันทั่วไปคือสูตรคร่าวๆว่า

ราคาทองไทย = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
หรือง่ายๆก็
ราคาทองไทย = ( Spot Gold + Premium ) x THB x 0.473

ปัญหา ไม่ใช่สูตร แต่เป็นว่าทำไมคิดทีไร ไม่เท่าสมาคมฯอยู่เรื่อยใช่ไหมครับ ผมย้อนถามกลับว่า ราคาทองเมืองนอกที่เห็นน่ะ ฝรั่งเค้าได้มากันยังไง ผมขายทองมานาน แรกๆผมก็ยังตอบไม่ได้ มี Bid มี Ask ด้วย แล้วราคาในกราฟมันคืออะไร มาจากตลาดไหน

ราคาที่เห็นมันเป็นราคาที่ปรากฏว่ามีการซื้อขายกันจริงในตลาดค้าทองคำหลักๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็น London ฮ่องกง อะไรแถวๆนี้ (NYMEX เป็นตลาด Future ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าเกี่ยวไหม) แต่สรุปก็คือ เป็นราคาที่มีผู้ต้องการซื้อ และมีผู้ต้องการขายที่ราคานั้น และตกลงซื้อขายกันเป็นที่เรียบร้อย ก็โผล่ราคาให้เห็นในกราฟว่า
"เฮ้! พวก ตอนนี้พวกไอซื้อขายกันราคานี้นะ พวกยูล่ะ ว่าไง" แหะๆ "ไอเหรอ ขอคิดดูก่อน"

อ่า.. แล้วสมาคมค้าทองคำอยู่ในสถานะไหนในตลาดล่ะครับ คำตอบคือ เหมือนเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายรายเล็กๆรายนึงในตลาดโลกเท่านั้นเอง สมาคมค้าทองคำตั้งขึ้นจากกลุ่มผู้ค้าทองคำนะครับ ไม่ใช่เป็นตลาด Exchange trade แบบเมืองนอก เวลาจะซื้อขายทองคำจากตลาดโลก ก็คงไม่มีใครพรวดพราดซื้อขายราคาไหนก็ได้ ต้องตั้งราคาไว้ในใจใช่ไหมครับ ว่าต้องการซื้อที่ราคาเท่าไหร่ ต้องการขายที่ราคาเท่าไหร่
มองย้อนเข้า มาถึงตลาดผู้บริโภคบ้านเรา คือปลายทางและต้นทางของสินค้าใช่ไหม เป็นเหมือนหน้าร้านของสมาคมฯนั่นแหละ สมาคมฯ จะตั้งราคาวันนี้เท่าไหร่ดี ถึงจะมีคนซื้อ มีคนขาย และถ้ามีคนมาขายมากๆ ต้องเอาไปปล่อยในตลาดโลก ต้องตั้งราคาเท่าไหร่ จึงจะมีกำไร หรือ ถ้าขายดี ต้องนำเข้าทองคำ ซึ่งแน่นอน กรณีนี้ ค่า Premium ย่อมเพิ่มขึ้น (กรณีของหมุนเวียนแต่ในตลาดเมืองไทย Premium ก็ต่ำถึงไม่มี การมีและไม่มี Premium แค่นี้ ราคาก็ขยับต่างกันได้เป็นร้อยบาทแล้วนะครับ)

ทำไมไม่ตั้งราคาตามตลาดโลก.. เป็น คำถามที่เจอบ่อย แต่ถ้าเข้าใจเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างบน ก็จะรู้ว่าทำไม่ได้เต็มร้อยหรอกครับ และสมาคมก็ประกาศราคามั่วๆก็ไม่ได้ด้วย เพราะถ้ามันเบี่ยงเบนมากเกินไป เค้าก็จะเสียโอกาสในการซื้อขายเช่นกัน ตัวแปรที่เบี่ยงเบนราคาสมาคมฯ มาจาก ดีมานด์-ซัพพลาย ในตลาดบ้านเรานี่แหละ แค่คำนี้ สมาคมฯ ต้องคิดแล้วคิดอีก บางวันประกาศไม่ดี ราคาเมืองนอกไม่เห็นจะเปลี่ยนเลย แต่สมาคมขอเปลี่ยนราคาซะอย่างนั้น
ถามว่า ทำได้ไหม? ทำได้สิครับ สมมุติ ถ้าคุณเป็นเจ้าของเงินบาทไทย (มองทองคำเป็นเงิน ไม่เห็นจะผิด เน๊อะ!) มีคนเอา US ที่กำลังจะอ่อนยวบมาขอแลก แรกๆ คุณมีเงินบาทไทยเยอะๆ คุณก็ให้แลกดีหรอก แต่พอมีคนมาแลกเยอะๆ คุณจะยอมปล่อยเงินบาทออกไปในอัตราเท่าเก่าจนหมดไหมล่ะ เมืองนอกยังไม่มีการ trade ซื้อขายเงิน มัน fix อัตราแลกเปลี่ยนไว้อยู่ตรงนั้น คุณจะเชื่อฝรั่งที่นอนหลับหรือจะเชื่อตัวคุณเอง ขึ้นอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดความต้องการลงพร้อมกับกำไรต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น หรือจะปล่อยให้เขาแลกไปจนหมด?

สมาคมกั๊กราคาหรือไม่.. ก็สมาคมฯ เป็นตัวแทนพ่อค้า ไม่ใช่ตลาด Exchange trade แบบเมืองนอก อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ จะซื้อจะขายก็จะกำหนดราคาที่ต้องการจะซื้อต้องการจะขาย เพื่อให้มีกำไร ไม่ใช่ต้องตามตลาดเมืองนอกเสมอไป ถามต่อว่า แบบนี้ ถ้าหาหน่วยงานมากำหนดราคาแทนสมาคมฯ เพื่อความเป็นธรรม ไม่ดีกว่าเหรอ คำตอบคือ ไม่ดีกว่าครับ ทองคำ ไม่ใช่ของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็น ถ้ามีหน่วยงานตั้งราคาแล้วฝ่ายผู้ค้าไม่เห็นด้วย เค้าก็ไม่ขายสิครับ เอาไป trade เมืองนอกดีกว่า ถามต่ออีกว่า แล้วผู้บริโภคจะทำไง หากสมาคมฯตั้งราคาไม่เป็นธรรม ก็ง่ายๆครับ อย่าไปซื้ออย่าไปขาย แค่นี้สมาคมฯก็โดนจวกแล้ว และร้านทองทั่วประเทศคงไม่มีใครอิงราคาสมาคมฯอีก จริงๆอยากจะบอกว่า เค้ากั๊กก็ได้เพียงนิดหน่อย แต่เบี่ยงเบนทิศทางตลาดจริงๆ ไม่ได้หรอกครับ

อ่านต่อ...