iPhone 3Gs โดย true ของแท้มือหนึ่ง ลดกว่า 90%

ตะลึง...ตะลึง... ทองคำ พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดในรอบ 27 ปี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งเอา พุ่งเอา เพราะสาเหตุที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนต่างแปลกใจว่าทำไม ราคาทองคำในตลาดโลกถึงได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจัง โอมเพี้ยงจึงอาสามาแนะนำให้เก็บทองคำ อย่างแรกง่ายๆเลย เพราะว่าทองคำเป็นการเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง หรือซื้อง่ายขายคล่องนั้นเอง และราคามีมาตรฐาน รวมทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานและใช้เป็นเครื่องประดับได้อีก หรือในยามเกิดสงครามทองคำนี้แหละคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด แต่ที่สำคัญต้องเก็บให้ไกลหูไกลตาโจรนะ แต่ถ้ากลัวขโมยขโจร ก็ไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือใครจะไปฝากให้โรงรับจำนำดูแลก็ไม่ว่ากัน
หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมดอลลาร์อ่อนค่า แล้วราคาทองคำถึงได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง คำตอบก็คือทองคำถูกกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่าก็จะทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น แล้วสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าละคืออะไร? ก็เริ่มตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีความเป็นไปได้จะเข้าสู่ ภาวะถดถอย และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตลาดซับไพร์ม ที่บดบังการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้ง (0.75%) การเทขายเงินดอลลาร์ของเฮดจ์ฟันด์ จากความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกรับมานาน ไปจนถึงประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนสัดส่วนการถือทุนสำรอง ระหว่างประเทศในสินทรัพย์เงินดอลลาร์ไปเป็นสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลอื่นๆ

ราคาทองที่พุ่งกระฉูด ฉุดไม่อยู่ขณะนี้ เป็นเพราะกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เลยตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจบางภาคส่วน ยังคงบ่งชี้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่จบสิ้น ประกอบกับภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกฉุดรั้งจากวิกฤตซับไพร์มยิ่งร้ายแรงมากขึ้น ดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจดังนี้ แม้โชดดีที่เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2550 ทบทวนใหม่ขยายตัว 4.9% แต่ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจเดือนตุลาคม ลดลง 0.5% และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 87.3 จุด นั้น ก็เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัว ส่วนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งเป็นอัตราน้อยที่สุดในรอบ 2 เดือน ขณะเดียวกัน เฟดยังได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจาก 2.5%-2.75% มาอยู่ที่ 1.8%-2.5% พร้อมกับคาดว่าอัตราการว่างงานปีหน้าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.8%-4.9% จาก 4.75% ที่ประมาณการครั้งก่อน ซึ่งก็เป็นเพราะปัจจัยลบที่รุมเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ไปจนถึงราคาน้ำมันที่พุ่งไม่หยุด ด้านสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ออกมาคาดการณ์เช่นกันว่า จีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะอยู่ที่ 1.5% ชะลอลงจาก 3.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.1% น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา ว่าจะนำพาเศรษฐกิจเดินลงสู่ห้วงเหวภาวะซบเซา ก็ยังไม่เห็นสัญญาณจะดีขึ้น เนื่องจากข้อมูลต่อไปนี้ยังคงบ่งชี้ว่าปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแต่เลวร้ายลงไปทุกที โดยยอดขายบ้านมือสองเดือนตุลาคมลดลง 1.2% ร่วงต่อเป็นเดือนที่ 8 มาอยู่ที่ 4.97 ล้านยูนิต และราคาบ้านลดลง 5.1% เฉลี่ยอยู่ที่ 207,800 ดอลลาร์ แม้ยอดขายบ้านใหม่เดือนดังกล่าว เพิ่มขึ้น 1.7% มาอยู่ที่ 728,000 ยูนิต แต่ยอดขายบ้านใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 23.5% ส่วนราคาบ้าน Q3/2550 เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% น้อยที่สุดในรอบ 13 ปี และราคาบ้าน 1 ใน 3 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ไตรมาสดังกล่าว ลดลง 2% เฉลี่ยอยู่ที่ 220,800 ดอลลาร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้ยอดขายบ้านลดลง 14% มาอยู่ที่ 5.42 ล้านยูนิต ขณะที่ดัชนีราคาบ้านสหรัฐฯ Q3/50 ลดลง 4.5% ร่วงมากสุดในรอบ 20 ปี แม้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมจะเพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 1.229 ล้านยูนิต เพราะยอดการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้น แต่ยอดก่อสร้างบ้านขนาด 1 ครอบครัว ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี โดยลดลง 7.3% มาอยู่ที่ 884,000 ยูนิต ยัง...ยังไม่หมดแค่นี้ ถ้าเห็นตัวเลขการฟ้องยึดหลักประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก็ต้องอุทานคำว่า "God " แน่นอน ก็จะไม่ร้องได้อย่างไร เมื่อตัวเลขดังกล่าวใน Q3/50 เพิ่มขึ้นถึง 100.1% มีจำนวน 446,726 ราย จาก 223,233 ราย ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 33.9% จาก 333,731 ราย ในไตรมาสก่อนหน้า
ด้านกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ และลงทุนในตลาดหุ้นต่างหันไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาขาดดุลการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี ซึ่งส่งผลให้มียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจที่จะถือครองดอลลาร์มีน้อยลง ขณะเดียวกันความวุ่นวายในตลาดเงินทั่วโลก ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจากตลาดเงิน ต่างปรับพอร์ตการลงทุน หรือย้ายฐานการลงทุนเข้ามาแก้มือในตลาดทองคำ แทนการลงทุนในตลาดหุ้นที่เกิดความผันผวนจากซับไพร์มที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก
อีกปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องหนักอกของสหรัฐฯ คงหนีไม่พ้น Twin Deficit หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณพร้อมกัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำดอลลาร์อ่อนค่าไม่มีวันสิ้นสุด โดยในเดือนกันยายนสหรัฐฯยังขาดดุลการค้าสูงถึง 56.5 พันล้านดอลลาร์ แม้จะดีกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ดุลงบประมาณในเดือนตุลาคมขาดดุลเพิ่มขึ้น 12.6% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ ตราบใดที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีน ซึ่งสหรัฐฯเสียดุลการค้ามากที่สุด ไม่เร่งปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ก็อย่าได้หวังเลยที่สหรัฐฯจะหลุดพ้นจากวังวนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่ามหาศาลเช่นนี้
สุดท้ายประเทศที่พัฒนาแล้วต่างหันมาใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในย่านเอเชียใช้ทองคำเป็นทุนสำรองรวมกันประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ด้านรัสเซียก็เตรียมเพิ่มสัดส่วนทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน ซึ่งภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ได้เพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์
แล้วก็ได้ทราบสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งทะยานมาแล้ว ทีนี้เรามาดูราคาทองคำในตลาดต่างๆกันบ้าง แล้วจะได้พิจารณาว่าควรจะเก็บทองในรูปไหนดี โดยทองคำในตลาดฮ่องกง ที่ชาวเอเชียเทรดกัน ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 793.55 ดอลลาร์/ออนซ์ (ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม) และในวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 805.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ 11.6 ดอลลาร์ ส่วนทองคำในตลาดลอนดอนที่ชาวยุโรปเขาเทรดกัน วันที่ 2 พฤศจิกายน ราคาทองคำอยู่ที่ 788.85 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ และวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 798.80 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ภายในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เพิ่มขึ้น 9.95 ดอลลาร์ สุดท้ายราคาขายปลีกทองคำในบ้านเราซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณ 96.5% ขายบาทละ 13,100 บาท และรับซื้อบาทละ 12,416.04 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณขายบาทละ 13250 บาท และรับซื้อบาทละ 12567.64 บาท ภายในเวลา 1 เดือน เพิ่มขึ้น 150 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% วันที่ 1 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12,700 บาท และรับซื้อบาทละ 12,600 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12850.00 บาท และรับซื้อบาทละ 12,750.00 บาท ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 150 บาท ..เอาเป็นว่าใครจะเลือกเก็บทองในรูปแบบไหนก็เลือกสรรตามสะดวกของแต่ละคนก็แล้วกันนะ แต่อย่าลืมคาถากำกับการลงทุนที่ว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง!

0 ความคิดเห็น