iPhone 3Gs โดย true ของแท้มือหนึ่ง ลดกว่า 90%

เปิดตัวคอลัมน์วันแรก ผู้น้อยขอนำหลักการพื้นฐานอันเป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในการลงทุนมาทบทวนให้นายท่านซึ่งเป็นนักลงทุนฟังกันก่อน เพราะเมื่อกล่าวถึงความสำเร็จของการลงทุนเมื่อใด หลายท่านอาจนึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น ด้วยว่าเป็นสมรภูมิการลงทุนที่มีความเร้าใจมากที่สุด และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้เป็นรายวินาที ทำให้ลืมไปว่า ยังมีสมรภูมิการลงทุนให้เลือกอีกมากมาย และหากนายท่านเลือกได้ดีและจัดกองทัพได้เหมาะสมกับการทำศึกในแต่ละสมรภูมิแล้ว ความสำเร็จจากการลงทุนย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน ผู้น้อยขอเอาหัว (คนอื่น) เป็นประกัน เกริ่นมาอย่างนี้ คงทำให้นายท่านนึกออกแล้วว่า หลักการพื้นฐานที่เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จของการลงทุนนั้นอยู่ที่ ‘การเลือกสมรภูมิ’ นั่นเอง
การลงทุนโดยทั่วไปย่อมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ การลงทุนทางตรง เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านซักรีด ไปจนถึงกิจการใหญ่โตอย่างการสร้างสนามบิน (ในหนองน้ำที่งูเห่าชุม) ซึ่งความสำเร็จของการลงทุนประเภทนี้เบื้องต้นก็ต้องมาจากการเลือกสมรภูมิ หรือ กิจการที่มีอนาคตเป็นหลักเช่นกัน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการลงทุนประเภทที่ 2 นั่นคือ การลงทุนทางอ้อม หรือ ที่เรียกกันว่า ‘การให้เงินทำงาน’ ซึ่งมักเกิดปัญหาตรงที่เงินเกิดดื้อด้านไม่ยอมทำงานให้เราแถมบางครั้งยังหนีไปอยู่กับคนอื่นเสียอีก แต่ปัญหานี้ไม่ยากเกินจัดการหากนายท่านเข้าใจธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของแต่ละสมรภูมิการลงทุน ก่อนที่จะเลือกทำศึกในชัยภูมิที่สอดคล้องกับจุดแข็งและความแข็งแกร่งด้านจิตใจของท่านเอง ถ้าจิตใจของท่านอ่อนไหวดุจดรุณีน้อยที่เกิดมาบนโลกอันโหดร้าย ก็ไม่สมควรออกศึก แต่ควรให้เงินนอนนิ่งอยู่ในธนาคารที่มีรัฐบาลเป็นประกัน แต่ถ้าหัวใจของท่านแข็งแกร่งดุจหินผาก็กระโจนสู่การนองเลือดในตลาดหุ้น เวลาที่ตัวเลขสีแดงครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดานได้เลย แต่ก่อนที่จะประเมินความแข็งแกร่งของจิตใจท่านเอง ผู้น้อยขอกล่าวถึงสมรภูมิการลงทุนที่น่าสนใจให้ท่านได้สร้างความคุ้นเคยให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เวลาออกศึกจะได้มั่นใจ

ผู้น้อยขอเริ่มจากสมรภูมิที่มี่ความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘ตลาดตราสารหนี้’ เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงเงินฝากที่เราทราบกันดีว่ามีความเสี่ยงต่ำเพียงใด ส่วนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้ลงทุนในตลาดตราสารหนี้หลักๆก็มี พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรแบงก์ชาติ หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียน ในประเทศที่ตลาดเงินพัฒนาเต็มที่แล้วยังมีพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์การปกครองระดับต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การพัฒนาเขตการปกครองส่วนภูมิภาคหรือท้องถิ่นมีความคล่องตัวมาก ที่กล่าวมานี้เป็นบรรดาตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีก็อย่างเช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก เป็นต้น แต่พวกลูกผสมอย่าง ตราสารหนี้กึ่งทุนที่ออกโดยสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่า ไฮบริดบอนด์ หรืออย่างหุ้นกู้แปลงสภาพ ผู้น้อยจำต้องขอยกไปสาธยายกลไกการทำงานของมันให้เข้าใจถ่องแท้ในโอกาสต่อไปเพื่อให้สมกับที่อาสาเป็นกุนซือให้กับนายท่าน แต่ตอนนี้ขอกล่าวถึงธรรมชาติของตลาดตราสารหนี้ก่อนก็แล้วกัน
ตลาดสารหนี้มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสมรภูมิการลงทุนใดเหมือน นั่นคือการให้ผลคอบแทนที่คงที่ หรือ ค่อนข้างคงที่ จัดเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ หรือ ตายตัว ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘fixed-income assets’ ซี่งผลตอบแทนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะจ่ายในอัตราเท่าไร จะจ่ายคงที่ หรือ ลอยตัว จะจ่ายทุกๆไตรมาส ครึ่งปี หรือ 1 ปี และที่สำคัญคือการกำหนดอายุ หรือ กำหนดคืนเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้ เป็นการบอกว่า เขาต้องการยืมเงินของนายท่านนานแค่ไหน เพื่อให้นายท่านได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนว่า พร้อมที่จะเป็นเจ้าหนี้เขาหรือไม่
หลังจากทราบเงื่อนไขของตราสารหนี้ที่นายท่านสนใจแล้ว ลำดับต่อไปต้องมาดูที่ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารว่ามีโอกาสเบี้ยวหนี้หรือ ไม่ ซึ่งโชคดีได้ตกเป็นของนายท่านที่มีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ อันดับเครดิตทั้งระดับโลก และ ระดับประเทศคอยจัดเรทติ้งให้ท่านทราบว่าตราสารหนี้แต่ละตัวนั้นมีความ เสี่ยงอยู่ในระดับใด สถาบันจัดอันดับเครดิตมีตั้งแต่ 3 บิ๊กระดับโลกอย่าง แสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี มูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส และฟิทช์เรทติ้งส์ จนถึงระดับท้องถิ่นของเราอย่างทริสเรทติ้งส์ ซึ่งทั้งหมดใช้ระบบการจัดเรทติ้งที่เป็นมารตรฐานเดียวกัน โดยกำหนดให้ตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไปเป็นระดับที่น่าลงทุน ส่วนที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าววถือเป็นระดับเก็งกำไร หรือ เป็นระดับ ‘junk bond’ เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หรือ มี ‘default risk’ สูง แต่ผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตต่ำๆมักแก้เกมด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ย ที่สูงเข้าตำรา high risk high return เพื่อให้ตราสารหนี้ขายออก สำหรับบ้านเรานั้นตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร เนื่องจากผู้กำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนของเรามีความพิถีพิถันรอบคอบและไม่ ยอมให้ผู้ออกตราสารที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มี ความเสี่ยงเกินรับได้เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตลาดทุนในประเทศเป็น สำคัญ
แต่อย่างไรก็ดี การได้ครอบครองตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอยังไม่ถือเป็นชัยชนะในสมรภูมิการลงทุนนี้ เนื่องจากนายท่านยังต้องเอาชนะปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ประการ ซึ่งถึงเเม้ไม่สามารถทำให้นายท่านหมดตัว หรือ สูญเงินต้น แต่ก็สามารถทำให้นายท่านต้องกุมขมับพร้อมคร่ำครวญว่า ‘กินดอกเบี้ยแบงก์ดีที่สุด’ นั่นเพราะตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำเสียแล้ว ปัจจัยที่ว่าคือ เงินเฟ้อ กับ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย
จริงอยู่เมื่อแรกซื้อตราสารหนี้ชุดใดชุดหนึ่งท่านย่อมเลือกชุดที่ให้ผลตอบ แทนสูงสุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ถ้าจะให้ดีต้องมีอายุสั้น หรือ ไถ่ถอนได้เร็วประมาณ 3-5 ปีกำลังเหมาะ คือเหมาะสำหรับนายท่านที่เป็นรายย่อยเพราะไม่ต้องไปหาสภาพคล่อง หรือ ปล่อยของในตลาดรองตราสารหนี้ที่ต้องเปิดพอร์ตตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เพียงแต่ท่านซื้อตราสารหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัด จำหน่ายซึ่งจะกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเช่น 100,000 บาทขึ้นไป แล้วถือรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆรอเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน หรือ โชคดีหน่อยก็อาจมีการรับซื้อคืนเป็นระยะๆก็พอ แต่ทีนี้มันมีความเสี่ยงอยู่ว่า หากท่านซื้อตราสารหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี หลังจากผ่านไป 2 ปี ดอกเบี้ยเงินฝากประจำขึ้นไปอยู่ที่ 6% ต่อปี ส่วนเงินเฟ้ออยู่ 4.5% ต่อปี ขณะที่ตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่มีอายุ 6 ปี จึงเหลือเวลาอีก 4 ปีถึงจะไถ่ถอนได้ สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือ ภาวนาให้ลูกหนี้ที่ออกตราสารหนี้นั้นไถ่ถอนก่อนกำหนด เพื่อที่สภาพคล่องจะได้กลับมาอยู่กับท่านอีกครั้ง และก็ไม่ต้องทนทุกข์กับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แถมเอาชนะเงินเฟ้อได้เพียง 0.5% (อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% - เงินเฟ้อ 4.5% = อัตราผลตอบแทนแท้จริง 0.5%) เป็นอันว่า การลงทุนในสมรภูมินี้ให้ประสบความสำเร็จ ท่านยังต้องสามารถประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยได้ อีกทั้งต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขด้านเวลาที่ผู้ออกตราสารหนี้กำหนด มา และในเมื่อท่านมีกุนซืออย่างผู้น้อยอยู่ทั้งคน ก็ไม่จำเป็นต้องไปคร่ำเคร่งศึกษาตำราเศรษฐศาสตร์ มหภาคจนเชี่ยวชาญในการคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้เสียเวลา ทำการใหญ่ของนายท่าน เพราะผู้น้อยจะขอเสนอวิธีรัดในการตัดสินใจให้นายท่านลองพิจารณา

0 ความคิดเห็น