ทองคำ ถือเป็นการออมในรูปแบบหนึ่งที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน โดยการซื้อขายทองในประเทศไทยจะเป็นไปในลักษณะการซื้อขายโดยผู้ซื้อและผู้ขาย ตกลงกันเอง ไม่ได้ผ่านตลาดการค้า และมีการแลกเปลี่ยนสินค้า (Physical products) เกิดขึ้นจริง ณ ราคาซื้อ-ขาย ที่กำหนดในแต่ละวัน โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ คือบุคคลทั่วไป และจะเป็นการซื้อขายทองรูปพรรณ ในรูปของเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ, กำไล, ต่างหู, ฯลฯ เพื่อสวมใส่เอง หรือเป็นของกำนัลในเทศกาลต่างๆ มากกว่าที่จะนิยมซื้อในรูปของทองคำแท่ง ซึ่งแตกต่างจากในต่างประเทศที่การซื้อขายส่วนใหญ่จะกระทำโดยนักลงทุนทั้ง สถาบันและรายย่อย มีการซื้อขายทั้งที่ส่งมอบในปัจจุบันกับการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ทองคำเป็นทางเลือกในการออมอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เมื่อพิจารณาถึงข้อดีต่างๆ ของการซื้อทองคำ เช่น เป็น แบบการออมที่มีความปลอดภัย, มีราคาซื้อขายที่ประกาศให้ทราบอย่างแน่ชัดในแต่ละวัน, เป็นการรักษาความมั่งคั่งให้กับผู้ถือครองในระยะยาว จาก การเปรียบเทียบการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำกับอัตราเงินเฟ้อ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาได้พลว่า การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำจะมากกว่าการเพิ่มขึ้นขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ยกเว้นในช่วงกลางปี 1999 มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากทองคำ ทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณสามารถนำไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย ผ่านทางค้าทองทั่วไปในราคารับซื้อซึ่งได้กำหนดไว้ในแต่ละวัน, มีความเป็นอิสระจากผลตอบแทนของหลักทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการคำนวณหาค่าความสัมพันธ์ของผลตอบแทนที่ได้จาก ทองคำกับหุ้น, พันธบัตร และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในแต่ละเดือนตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมา และพบว่าค่าความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ทองคำเป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสียงจากการลงทุนในยามที่คาดว่า อัตราผลตอลบแทนจากตลาดหุ้นหรือราคาพันธบัตรมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจซื้อทองคำนั้น ควรจะต้องคำนึงถึงต้นทุนในด้านอื่น ๆ เช่น
ต้นทุนในการเก็บรักษา เนื่องจากการซื้อขายทองคำจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้าเกิดขึ้นจริง แตกต่างจากการลงทุนในหุ้น ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีการแลกเปลี่ยนจริงเกิดขึ้นก็ได้ ทำให้ผู้ซื้อทองจะต้องรับผิดชอบในการเก็บรักษาเอง หรือนำไปฝากกับธนาคารแต่ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเก็บรักษาเพิ่ม
ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อขาย โดยปกติแล้ว ราคารับซื้อและขายออกของทองคำแท่งจะมีส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ 100 บาท โดยราคาขายจะสูงกว่าราคารับซื้อ ส่วนการขายทองรูปพรรณนั้นร้านค้าทองต่างๆ จะพวกเพิ่มค่ากำเหน็จไปในราคาขายด้วย โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 200 บาทขึ้นไปต่อเส้น นอกจากนั้น ในการรับซื้อทองมักจะมีการหักค่าเสื่อมจากราคาทองรูปพรรณที่รับซื้ออีกด้วย
การถือครองทองคำไม่ได้มีการระบุกรรมสิทธิ์ความ เป็นเจ้าของอย่างชัดเจน ทำให้มีความเสี่ยงจากการถูกลักขโมยและนำไปขายต่อได้ แตกต่างกับการซื้อพันธบัตรที่ต้องมีการระบุชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพันธบัตร หรือการซื้อหุ้นที่จะต้องมีการเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ ทำให้การแอบอ้างความเป็นเจ้าของในหลักทรัพย์ทำได้ยาก
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนกำหนดราคาทองคำในประเทศนั้น ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาท/ ดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาทองคำในประเทศมีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองในตลาดโลก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แนว โน้มการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกจากระดับปัจจุบัน จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ทองคำเป็นทางเลือกหนึ่งในการออมที่น่าสนใจ โดยปัจจัยที่ช่วยหนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ได้แก่ความต้องการซื้อทองคำแทนที่การลงทุนในสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จะยังคงดำเนินต่อไป จากความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบ ประมาณของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนหันไปให้น้ำหนักกับการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศสกุลอื่นๆ รวมไปถึงทองคำมากขึ้น
โดยข้อมูลจาก World Gold Council ได้ระบุว่า ในปี 2004 นั้น ความต้องการซื้อทองคำในโลกอยู่ที่ประมาณ 3,484 ตัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ8.2 จาก 3,221 ตันในปี 2003 ปริมาณทองคำในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง อันเป็นผลมาจากปริมาณทองคำที่ผลิตจากเหมืองต่าง ๆ อยู่ที่ประมาณ 2,034 ตัน ลดลงจากปี 2003 ซึ่งผลิตได้ 2,313 ตัด ถึงร้อยละ 12 นอกจากนั้น ข้อตกลงระหว่างธนาคารกลางประเทศต่างๆ 15 ประเทศในยุโรป (The 2nd Central Bank Gold Agreements : CBGA 2) ได้กำหนดให้ธนาคารเหล่านั้นสามารถขายทองคำได้สูงสุดไม่เกินปีละ 500 ตัน และยอดขายรวมตลอด 5 ปีข้างหน้า (2005-2009) ไม่เกิน 2,500 ตัน
อย่าง ไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางเหล่านั้นจะขายทองคำน้อยกว่าที่ระบุใน ข้อตกลง โดยทองคำที่อกขายโดยธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ในโลกในปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 19.4 จากปี 2003
ทิศทางของปริมาณทองคำในตลาดโลกในปีนี้คงจะต้องขึ้นอยู่กับผลการประชุมระหว่าง IMF กับรัฐมนตรีคลังในกลุ่มประเทศจี 7 ในเดือน เม.ย. นี้ เกี่ยวกับการนำทองคำของ IMF มาช่วยชำระหนี้ให้ประเทศที่ยากจน ว่าจะมีข้อสรุปเช่นใด ซึ่งหากว่าการประชุมดังกล่าวมีข้อสรุปให้ IMF ขายทองคำออกมาก็อาจจะกดดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงได้
ในส่วนของปัจจัยทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกถูกกำหนดในรูปของเงินดอลลาร์ การ อ่อนค่าลงของดอลลาร์ จะทำให้ราคาทองคำในสกุลเงินนั้น ๆ ถูกลงได้ ทำให้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างราคาทองคำในตลาดโลกในรูปเงินดอลลาร์ที่เพิ่ม ขึ้น กับราคาทองที่ลดลงเมื่อแปลงให้อยู่ในรูปเงินบาท ว่าผลกระทบด้านใดจะมากกว่า ซึ่งจากการคำนวณหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงิน บาท กับราคาทองคำในประเทศตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมานั้น พบว่าในช่วงเวลาที่เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินบาทนั้น ราคาทองคำในประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า การซื้อทองคำในประเทศไทยสามารถจะเป็นรูปแบบการลงทุนประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคตนอกจากการเป็นเครื่องประดับ ทั้งนี้ คงจะต้องอาศัยความร่วมมือกันจากทั้งภาครัฐ และเอกชนในด้านต่างๆ เช่น การเพิ่มสภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายทอง โดยการสนับสนุนให้นักลงทุนสถาบันต่าง ๆ เข้ามีบทบาท ทั้งการเป็นผู้ซื้อ และผู้ขาย จากในปัจจุบันที่การซื้อขายจะอยู่แต่ในกลุ่มรายย่อย
การส่งเสริมให้มีการออกตราสารต่างๆ ที่อ้างอิงกับทองคำ เช่น ตั๋วทองคำ หรือหุ้นกู้อนุพันธ์ที่มีผลตอบแทนอิงกับราคาทอง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษาทองคำจริง ตลอดจนการผลักดันให้ทองเป็นสินค้าที่สามรถซื้อขายในตลาดล่วงหน้าได้ เช่นเดียวกับในต่างประเทศ การประชาสัมพันธ์การทำการตลาดและสนับสนุนให้เห็นถึงข้อดีของการลงทุนในทองคำเพิ่มมากขึ้น โดยการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ทั้ง หุ้น, หุ้นกู้ หรือหน่วยลงทุน ล้วนแล้วแต่มีการประชาสัมพันธ์ และมีการแข่งขันกันทำการตลาดเพื่อดึงดูดนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการลงทุนในทองคำยังมีอยู่ค่อนข้างน้อยใน ปัจจุบัน
อย่าง ไรก็ตาม ถึงแม้การซื้อทองคำจะเป็นช่องทางการลงทุนที่มีความน่าสนใจ แต่ก็เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนเช่น เดียวกันกับการลงทุนในตราสารประเภทอื่นๆ ซึ่งนักลงทุนจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนเช่นกัน..
ตะลึง...ตะลึง... ทองคำ พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดในรอบ 27 ปี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มองเห็นราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งเอา พุ่งเอา เพราะสาเหตุที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนต่างแปลกใจว่าทำไม ราคาทองคำในตลาดโลกถึงได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจัง โอมเพี้ยงจึงอาสามาแนะนำให้เก็บทองคำ อย่างแรกง่ายๆเลย เพราะว่าทองคำเป็นการเป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง หรือซื้อง่ายขายคล่องนั้นเอง และราคามีมาตรฐาน รวมทั้งยังสามารถเก็บไว้ได้นานและใช้เป็นเครื่องประดับได้อีก หรือในยามเกิดสงครามทองคำนี้แหละคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด แต่ที่สำคัญต้องเก็บให้ไกลหูไกลตาโจรนะ แต่ถ้ากลัวขโมยขโจร ก็ไปฝากไว้ที่ธนาคารหรือใครจะไปฝากให้โรงรับจำนำดูแลก็ไม่ว่ากัน
หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมดอลลาร์อ่อนค่า แล้วราคาทองคำถึงได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง คำตอบก็คือทองคำถูกกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่าก็จะทำให้ทองคำมีราคาแพงขึ้น แล้วสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าละคืออะไร? ก็เริ่มตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีความเป็นไปได้จะเข้าสู่ ภาวะถดถอย และภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตลาดซับไพร์ม ที่บดบังการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้ง (0.75%) การเทขายเงินดอลลาร์ของเฮดจ์ฟันด์ จากความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯต้องแบกรับมานาน ไปจนถึงประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศเริ่มเปลี่ยนสัดส่วนการถือทุนสำรอง ระหว่างประเทศในสินทรัพย์เงินดอลลาร์ไปเป็นสินทรัพย์ในรูปเงินสกุลอื่นๆ
ราคาทองที่พุ่งกระฉูด ฉุดไม่อยู่ขณะนี้ เป็นเพราะกระแสคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมวันที่ 11 ธันวาคมนี้ เลยตอกย้ำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจบางภาคส่วน ยังคงบ่งชี้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่จบสิ้น ประกอบกับภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกฉุดรั้งจากวิกฤตซับไพร์มยิ่งร้ายแรงมากขึ้น ดูได้จากตัวเลขเศรษฐกิจดังนี้ แม้โชดดีที่เศรษฐกิจในไตรมาส 3/2550 ทบทวนใหม่ขยายตัว 4.9% แต่ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจเดือนตุลาคม ลดลง 0.5% และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 87.3 จุด นั้น ก็เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัว ส่วนยอดค้าปลีกเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งเป็นอัตราน้อยที่สุดในรอบ 2 เดือน ขณะเดียวกัน เฟดยังได้ปรับลดประมาณการ การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจาก 2.5%-2.75% มาอยู่ที่ 1.8%-2.5% พร้อมกับคาดว่าอัตราการว่างงานปีหน้าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.8%-4.9% จาก 4.75% ที่ประมาณการครั้งก่อน ซึ่งก็เป็นเพราะปัจจัยลบที่รุมเร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ไปจนถึงราคาน้ำมันที่พุ่งไม่หยุด ด้านสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ออกมาคาดการณ์เช่นกันว่า จีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะอยู่ที่ 1.5% ชะลอลงจาก 3.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 2.1% น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี
สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา ว่าจะนำพาเศรษฐกิจเดินลงสู่ห้วงเหวภาวะซบเซา ก็ยังไม่เห็นสัญญาณจะดีขึ้น เนื่องจากข้อมูลต่อไปนี้ยังคงบ่งชี้ว่าปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแต่เลวร้ายลงไปทุกที โดยยอดขายบ้านมือสองเดือนตุลาคมลดลง 1.2% ร่วงต่อเป็นเดือนที่ 8 มาอยู่ที่ 4.97 ล้านยูนิต และราคาบ้านลดลง 5.1% เฉลี่ยอยู่ที่ 207,800 ดอลลาร์ แม้ยอดขายบ้านใหม่เดือนดังกล่าว เพิ่มขึ้น 1.7% มาอยู่ที่ 728,000 ยูนิต แต่ยอดขายบ้านใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 23.5% ส่วนราคาบ้าน Q3/2550 เพิ่มขึ้นเพียง 1.8% น้อยที่สุดในรอบ 13 ปี และราคาบ้าน 1 ใน 3 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ ไตรมาสดังกล่าว ลดลง 2% เฉลี่ยอยู่ที่ 220,800 ดอลลาร์ เนื่องจากมาตรฐานที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยทำให้ยอดขายบ้านลดลง 14% มาอยู่ที่ 5.42 ล้านยูนิต ขณะที่ดัชนีราคาบ้านสหรัฐฯ Q3/50 ลดลง 4.5% ร่วงมากสุดในรอบ 20 ปี แม้การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมจะเพิ่มขึ้น 3% มาอยู่ที่ 1.229 ล้านยูนิต เพราะยอดการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์เพิ่มขึ้น แต่ยอดก่อสร้างบ้านขนาด 1 ครอบครัว ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 ปี โดยลดลง 7.3% มาอยู่ที่ 884,000 ยูนิต ยัง...ยังไม่หมดแค่นี้ ถ้าเห็นตัวเลขการฟ้องยึดหลักประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย ก็ต้องอุทานคำว่า "God " แน่นอน ก็จะไม่ร้องได้อย่างไร เมื่อตัวเลขดังกล่าวใน Q3/50 เพิ่มขึ้นถึง 100.1% มีจำนวน 446,726 ราย จาก 223,233 ราย ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 33.9% จาก 333,731 ราย ในไตรมาสก่อนหน้า
ด้านกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนต่างๆ ที่เคยถือครองเงินดอลลาร์ และลงทุนในตลาดหุ้นต่างหันไปลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้น เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาขาดดุลการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี ซึ่งส่งผลให้มียอดสะสมในการขาดดุลการค้าสูงมาก จึงทำให้ความน่าสนใจที่จะถือครองดอลลาร์มีน้อยลง ขณะเดียวกันความวุ่นวายในตลาดเงินทั่วโลก ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจากตลาดเงิน ต่างปรับพอร์ตการลงทุน หรือย้ายฐานการลงทุนเข้ามาแก้มือในตลาดทองคำ แทนการลงทุนในตลาดหุ้นที่เกิดความผันผวนจากซับไพร์มที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก
อีกปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องหนักอกของสหรัฐฯ คงหนีไม่พ้น Twin Deficit หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณพร้อมกัน ยิ่งเป็นการตอกย้ำดอลลาร์อ่อนค่าไม่มีวันสิ้นสุด โดยในเดือนกันยายนสหรัฐฯยังขาดดุลการค้าสูงถึง 56.5 พันล้านดอลลาร์ แม้จะดีกว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ดุลงบประมาณในเดือนตุลาคมขาดดุลเพิ่มขึ้น 12.6% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ ตราบใดที่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอย่างจีน ซึ่งสหรัฐฯเสียดุลการค้ามากที่สุด ไม่เร่งปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ก็อย่าได้หวังเลยที่สหรัฐฯจะหลุดพ้นจากวังวนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่ามหาศาลเช่นนี้
สุดท้ายประเทศที่พัฒนาแล้วต่างหันมาใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในย่านเอเชียใช้ทองคำเป็นทุนสำรองรวมกันประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ด้านรัสเซียก็เตรียมเพิ่มสัดส่วนทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดเงิน ซึ่งภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ได้เพิ่มปริมาณทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างคิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์
แล้วก็ได้ทราบสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งทะยานมาแล้ว ทีนี้เรามาดูราคาทองคำในตลาดต่างๆกันบ้าง แล้วจะได้พิจารณาว่าควรจะเก็บทองในรูปไหนดี โดยทองคำในตลาดฮ่องกง ที่ชาวเอเชียเทรดกัน ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 793.55 ดอลลาร์/ออนซ์ (ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม) และในวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 805.15 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ 11.6 ดอลลาร์ ส่วนทองคำในตลาดลอนดอนที่ชาวยุโรปเขาเทรดกัน วันที่ 2 พฤศจิกายน ราคาทองคำอยู่ที่ 788.85 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ และวันที่ 30 พฤศจิกายน ราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 798.80 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ภายในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เพิ่มขึ้น 9.95 ดอลลาร์ สุดท้ายราคาขายปลีกทองคำในบ้านเราซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณ 96.5% ขายบาทละ 13,100 บาท และรับซื้อบาทละ 12,416.04 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ทองรูปพรรณขายบาทละ 13250 บาท และรับซื้อบาทละ 12567.64 บาท ภายในเวลา 1 เดือน เพิ่มขึ้น 150 บาท ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% วันที่ 1 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12,700 บาท และรับซื้อบาทละ 12,600 บาท และวันที่ 30 พฤศจิกายน ขายบาทละ 12850.00 บาท และรับซื้อบาทละ 12,750.00 บาท ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 150 บาท ..เอาเป็นว่าใครจะเลือกเก็บทองในรูปแบบไหนก็เลือกสรรตามสะดวกของแต่ละคนก็แล้วกันนะ แต่อย่าลืมคาถากำกับการลงทุนที่ว่า การลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง!
เปิดตัวคอลัมน์วันแรก ผู้น้อยขอนำหลักการพื้นฐานอันเป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในการลงทุนมาทบทวนให้นายท่านซึ่งเป็นนักลงทุนฟังกันก่อน เพราะเมื่อกล่าวถึงความสำเร็จของการลงทุนเมื่อใด หลายท่านอาจนึกถึงการลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น ด้วยว่าเป็นสมรภูมิการลงทุนที่มีความเร้าใจมากที่สุด และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้เป็นรายวินาที ทำให้ลืมไปว่า ยังมีสมรภูมิการลงทุนให้เลือกอีกมากมาย และหากนายท่านเลือกได้ดีและจัดกองทัพได้เหมาะสมกับการทำศึกในแต่ละสมรภูมิแล้ว ความสำเร็จจากการลงทุนย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน ผู้น้อยขอเอาหัว (คนอื่น) เป็นประกัน เกริ่นมาอย่างนี้ คงทำให้นายท่านนึกออกแล้วว่า หลักการพื้นฐานที่เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จของการลงทุนนั้นอยู่ที่ ‘การเลือกสมรภูมิ’ นั่นเอง
การลงทุนโดยทั่วไปย่อมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ การลงทุนทางตรง เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านซักรีด ไปจนถึงกิจการใหญ่โตอย่างการสร้างสนามบิน (ในหนองน้ำที่งูเห่าชุม) ซึ่งความสำเร็จของการลงทุนประเภทนี้เบื้องต้นก็ต้องมาจากการเลือกสมรภูมิ หรือ กิจการที่มีอนาคตเป็นหลักเช่นกัน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการลงทุนประเภทที่ 2 นั่นคือ การลงทุนทางอ้อม หรือ ที่เรียกกันว่า ‘การให้เงินทำงาน’ ซึ่งมักเกิดปัญหาตรงที่เงินเกิดดื้อด้านไม่ยอมทำงานให้เราแถมบางครั้งยังหนีไปอยู่กับคนอื่นเสียอีก แต่ปัญหานี้ไม่ยากเกินจัดการหากนายท่านเข้าใจธรรมชาติและลักษณะเฉพาะของแต่ละสมรภูมิการลงทุน ก่อนที่จะเลือกทำศึกในชัยภูมิที่สอดคล้องกับจุดแข็งและความแข็งแกร่งด้านจิตใจของท่านเอง ถ้าจิตใจของท่านอ่อนไหวดุจดรุณีน้อยที่เกิดมาบนโลกอันโหดร้าย ก็ไม่สมควรออกศึก แต่ควรให้เงินนอนนิ่งอยู่ในธนาคารที่มีรัฐบาลเป็นประกัน แต่ถ้าหัวใจของท่านแข็งแกร่งดุจหินผาก็กระโจนสู่การนองเลือดในตลาดหุ้น เวลาที่ตัวเลขสีแดงครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของกระดานได้เลย แต่ก่อนที่จะประเมินความแข็งแกร่งของจิตใจท่านเอง ผู้น้อยขอกล่าวถึงสมรภูมิการลงทุนที่น่าสนใจให้ท่านได้สร้างความคุ้นเคยให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น เวลาออกศึกจะได้มั่นใจ
ผู้น้อยขอเริ่มจากสมรภูมิที่มี่ความเสี่ยงต่ำอย่าง ‘ตลาดตราสารหนี้’ เป็นลำดับแรก เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงเงินฝากที่เราทราบกันดีว่ามีความเสี่ยงต่ำเพียงใด ส่วนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีให้ลงทุนในตลาดตราสารหนี้หลักๆก็มี พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรแบงก์ชาติ หุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้บริษัทจดทะเบียน ในประเทศที่ตลาดเงินพัฒนาเต็มที่แล้วยังมีพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์การปกครองระดับต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การพัฒนาเขตการปกครองส่วนภูมิภาคหรือท้องถิ่นมีความคล่องตัวมาก ที่กล่าวมานี้เป็นบรรดาตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีก็อย่างเช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก เป็นต้น แต่พวกลูกผสมอย่าง ตราสารหนี้กึ่งทุนที่ออกโดยสถาบันการเงิน หรือที่เรียกว่า ไฮบริดบอนด์ หรืออย่างหุ้นกู้แปลงสภาพ ผู้น้อยจำต้องขอยกไปสาธยายกลไกการทำงานของมันให้เข้าใจถ่องแท้ในโอกาสต่อไปเพื่อให้สมกับที่อาสาเป็นกุนซือให้กับนายท่าน แต่ตอนนี้ขอกล่าวถึงธรรมชาติของตลาดตราสารหนี้ก่อนก็แล้วกัน
ตลาดสารหนี้มีลักษณะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสมรภูมิการลงทุนใดเหมือน นั่นคือการให้ผลคอบแทนที่คงที่ หรือ ค่อนข้างคงที่ จัดเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ หรือ ตายตัว ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘fixed-income assets’ ซี่งผลตอบแทนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะจ่ายในอัตราเท่าไร จะจ่ายคงที่ หรือ ลอยตัว จะจ่ายทุกๆไตรมาส ครึ่งปี หรือ 1 ปี และที่สำคัญคือการกำหนดอายุ หรือ กำหนดคืนเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้ เป็นการบอกว่า เขาต้องการยืมเงินของนายท่านนานแค่ไหน เพื่อให้นายท่านได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนว่า พร้อมที่จะเป็นเจ้าหนี้เขาหรือไม่
หลังจากทราบเงื่อนไขของตราสารหนี้ที่นายท่านสนใจแล้ว ลำดับต่อไปต้องมาดูที่ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารว่ามีโอกาสเบี้ยวหนี้หรือ ไม่ ซึ่งโชคดีได้ตกเป็นของนายท่านที่มีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ อันดับเครดิตทั้งระดับโลก และ ระดับประเทศคอยจัดเรทติ้งให้ท่านทราบว่าตราสารหนี้แต่ละตัวนั้นมีความ เสี่ยงอยู่ในระดับใด สถาบันจัดอันดับเครดิตมีตั้งแต่ 3 บิ๊กระดับโลกอย่าง แสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี มูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส และฟิทช์เรทติ้งส์ จนถึงระดับท้องถิ่นของเราอย่างทริสเรทติ้งส์ ซึ่งทั้งหมดใช้ระบบการจัดเรทติ้งที่เป็นมารตรฐานเดียวกัน โดยกำหนดให้ตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไปเป็นระดับที่น่าลงทุน ส่วนที่ต่ำกว่าระดับดังกล่าววถือเป็นระดับเก็งกำไร หรือ เป็นระดับ ‘junk bond’ เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หรือ มี ‘default risk’ สูง แต่ผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตต่ำๆมักแก้เกมด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ย ที่สูงเข้าตำรา high risk high return เพื่อให้ตราสารหนี้ขายออก สำหรับบ้านเรานั้นตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร เนื่องจากผู้กำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนของเรามีความพิถีพิถันรอบคอบและไม่ ยอมให้ผู้ออกตราสารที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มี ความเสี่ยงเกินรับได้เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตลาดทุนในประเทศเป็น สำคัญ
แต่อย่างไรก็ดี การได้ครอบครองตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอยังไม่ถือเป็นชัยชนะในสมรภูมิการลงทุนนี้ เนื่องจากนายท่านยังต้องเอาชนะปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ประการ ซึ่งถึงเเม้ไม่สามารถทำให้นายท่านหมดตัว หรือ สูญเงินต้น แต่ก็สามารถทำให้นายท่านต้องกุมขมับพร้อมคร่ำครวญว่า ‘กินดอกเบี้ยแบงก์ดีที่สุด’ นั่นเพราะตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำเสียแล้ว ปัจจัยที่ว่าคือ เงินเฟ้อ กับ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย
จริงอยู่เมื่อแรกซื้อตราสารหนี้ชุดใดชุดหนึ่งท่านย่อมเลือกชุดที่ให้ผลตอบ แทนสูงสุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ถ้าจะให้ดีต้องมีอายุสั้น หรือ ไถ่ถอนได้เร็วประมาณ 3-5 ปีกำลังเหมาะ คือเหมาะสำหรับนายท่านที่เป็นรายย่อยเพราะไม่ต้องไปหาสภาพคล่อง หรือ ปล่อยของในตลาดรองตราสารหนี้ที่ต้องเปิดพอร์ตตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป เพียงแต่ท่านซื้อตราสารหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัด จำหน่ายซึ่งจะกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการซื้อเช่น 100,000 บาทขึ้นไป แล้วถือรับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆรอเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน หรือ โชคดีหน่อยก็อาจมีการรับซื้อคืนเป็นระยะๆก็พอ แต่ทีนี้มันมีความเสี่ยงอยู่ว่า หากท่านซื้อตราสารหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี หลังจากผ่านไป 2 ปี ดอกเบี้ยเงินฝากประจำขึ้นไปอยู่ที่ 6% ต่อปี ส่วนเงินเฟ้ออยู่ 4.5% ต่อปี ขณะที่ตราสารหนี้ที่ท่านถืออยู่มีอายุ 6 ปี จึงเหลือเวลาอีก 4 ปีถึงจะไถ่ถอนได้ สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนี้คือ ภาวนาให้ลูกหนี้ที่ออกตราสารหนี้นั้นไถ่ถอนก่อนกำหนด เพื่อที่สภาพคล่องจะได้กลับมาอยู่กับท่านอีกครั้ง และก็ไม่ต้องทนทุกข์กับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แถมเอาชนะเงินเฟ้อได้เพียง 0.5% (อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% - เงินเฟ้อ 4.5% = อัตราผลตอบแทนแท้จริง 0.5%) เป็นอันว่า การลงทุนในสมรภูมินี้ให้ประสบความสำเร็จ ท่านยังต้องสามารถประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยได้ อีกทั้งต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขด้านเวลาที่ผู้ออกตราสารหนี้กำหนด มา และในเมื่อท่านมีกุนซืออย่างผู้น้อยอยู่ทั้งคน ก็ไม่จำเป็นต้องไปคร่ำเคร่งศึกษาตำราเศรษฐศาสตร์ มหภาคจนเชี่ยวชาญในการคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้เสียเวลา ทำการใหญ่ของนายท่าน เพราะผู้น้อยจะขอเสนอวิธีรัดในการตัดสินใจให้นายท่านลองพิจารณา
ซานฟรานซิสโก (MarketWatch) -- ทองคำตลาดล่วงหน้าได้ไต่ระดับสู่จุดสูงสุดเหนือ 700 เหรียญ ย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังไม่เคยซื้อขายใกล้ระดับนั้นอีกนับแต่นั้นมา
เมื่อทองคำถึงระดับ 728$ ในเดือนพฤษภาคม "มีความตื่นเต้นกันอย่างมาก" ทำให้คิดกันไปถึง 1000 เหรียญ หรือกระทั่ง 2000 เหรียญ หรือสูงไปกว่านั้น Steven Jon Kaplan นักเขียนอาวุโสจาก TrueContrarian.com กล่าว
"นับตั้งแต่นั้น, เศรษฐกิจโลกเริ่มจะชะลอตัวลง และทำให้ดีมานด์ความต้องการโภคภัณฑ์ลดลงไปด้วย"
เวลานี้ ราคาได้เริ่มต้นแสดงสัญญาณบางอย่างออกมา จากสถานการณ์กิจกรรมนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือและอิหร่าน และสหรัฐได้กล่าวหาซีเรียว่ามีแผนการณ์ที่จะโค่นล้มรัฐบาลของเลบานอน US ดอลล่าร์ยังเสียมูลค่าและการแข่งขันจากการอ่อนตัวลงของสกุลเงิน นักวิเคราะห์กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะกระตุ้นให้ซื้อทองคำเป็นทางเลือกในการลงทุน
และเบื้องหลังอย่างนั้น ทำให้ยากที่นักวิเคราะห์ราคาทองคำจะยอมแพ้การทำนายราคาทองคำที่ 1000 เหรียญ -- แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่าระดับดังกล่าวจะไกลออกไปอย่างน้อยก็เป็นปี จากการทำนายตอนแรก
"เราจะไม่แปลกใจที่จะเห็นราคาทองคำที่ระดับ 1000 เหรียญ หรือกว่านั้น เร็วที่สุดอาจเป็นบางช่วงของปี 2007 และช้าที่สุดในปี 2009" Julian Phillips นักวิเคราะห์จาก GoldForecaster.com กล่าว
ในระยะสั้นแล้ว "ทองคำดูจะขึ้นเพราะความต้องการใช้งานจริง หรือ physical demand ซึ่งตอนนี้ได้เพิ่มการกลับเข้ามาของเฮดฟันด์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของขาขึ้น" เขากล่าว
"การขาดแคลนน้ำมันที่อาจเกิดขึ้นได้และแรงกดดันที่จะตามมา และตอนนี้มากกว่าคำว่าอาจจะ คือการขาดเสถียรภาพของระบบการเงินโลก เมื่อดอลล่าร์เริ่มออกอาการเป็นหนอง" ซึ่งเหล่านี้จะสนับสนุนราคาทองคำในระยะกลางและระยะยาว เขากล่าว
วิกฤติดอลล่าร์
กุญแจสำคัญของการขึ้นของราคาทองคำคือการตายของดอลล่าร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีเลือกตั้ง
"เงินร้อนที่ไหลเข้ามาเมื่อต้นปีแทบจะไปหมดแล้วและทองคำที่ขึ้นๆลงๆจะกลับ สู่ภาวะปกติ" Peter Grandich นักเขียนจาก the Grandich Letter กล่าว
"การลดลงของดอลล่าร์ดูจะเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้ทองคำค่อยๆขึ้นไปทำ new high อย่างช้าๆ ในปี 2007" เขากล่าว
"ดอลล่าร์จะอ่อนแอลงกว่าที่เป็นมา" Ned Schmidt นักเขียนจาก the Value View Gold Report ยืนยันความเชื่อที่ตลาดหมีของ US ดอลล่าร์จะเร่งเข้ามาเร็วขึ้น หลังการเลือกตั้ง
"ทองคำจะเป็นทางเดียวที่จะป้องกันผลจากการเลือกตั้ง ถ้าเดโมแครกชนะ ทองคำจะขึ้น และถ้ารีพลับริกันชนะ ทองคำก็จะขึ้น" ทั้งสองพรรค .. เกิดภาวะสูญญากาศผู้นำ
ขณะที่ "ภาระหนี้ที่มากเกินไปของธนาคารกลางทั่วโลกจะใกล้สู่ระดับวิกฤติ" Schmidt กล่าว และธนาคารกลางต่างๆจะลดการถือครองหนี้สินสกุลดอลล่าร์ ซึ่งจะทำให้ดอลล่าร์อ่อนลงอีก
และเศรษฐกิจจะเข้าสู่ความตกต่ำในไตรมาสแรกของปี 2007 ยังความตกต่ำแก่ดอลล่าร์เพิ่มไปอีก
โดยรวม การเคลื่อนย้ายจากสกุลเงินดอลล่าร์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การค้าขาดดุลย์มากขึ้นและมากขึ้น ดอลล่าร์อยู่ในปัญหาที่เลวร้ายมาก ดังนั้นนักลงทุนในทองคำรู้ถึงความเสี่ยงในช่วงขาขึ้น ก็แค่นักค้าจะดึงราคาทองคำต่ำลงเพื่อเพิ่มโอกาสเข้ามาในช่วงระดับที่ลดราคา Peter Spina จาก GoldSeek.com แสดงความเห็น
จุดแตกหักในตะวันออกกลาง
อีกเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้ทองคำขึ้นคือสิ่งที่ตลาดแทบจะไม่สนใจในช่วงหลัง: คือความตึงเครียดที่เกิดขึ้นใหม่ในตะวันออกกลาง
"เหตุผลที่แข็งแกร่งที่สุดที่ควรจะถือทองคำเดี๋ยวนี้คือความจริงที่เรามี เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำจอดอยู่นอกขายฝั่งอิหร่าน" Ralph Preston III ผู้บริหารบัญชีของ Heritage West Financial Inc. ฐานในซานดิเอโก กล่าว
และซาอุดิอารเบียได้วางกำลังกองทัพเรือและกองกำลังพิเศษเพื่อป้องกันตามจุด ต่างๆรอบๆ Ras Tanura สถานีน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก Preston กล่าว ข่าวรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่อัล-ไคดาจะโจมตีสถานีน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย
และการท้าทาย UNSC ของอิหร่าน เรื่องการให้หยุดพัฒนายูเรเนียม -- และกับจีนและรัสเซีย ต่อต้านการกระทำใดๆที่จะลงโทษอิหร่าน
บทบาทของสหรัฐ "ในการปกป้องเศรษฐกิจโลก ในการรักษาความมั่นคง, ราคาที่ถูก, และการรักษาความปลอดภัยการนำน้ำมันออกจากตะวันออกกลาง ดูเหมือนกำลังจะถูกทดสอบ" เขากล่าว
Preston ชี้ให้เห็น "หลังการปฏิวัติในอิหร่าน ในปี 1979 การส่งออกน้ำมันเสียระบบและทองคำได้ทำราคาสูงสุดตลอดกาลในเวลาอันสั้น"
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ดูจะคัดค้านแนวคิดขาลงของทองคำ แต่ยังมีบางส่วน
"ราคาที่ลดลงน่าจะมาจากการตกต่ำอย่างฮวบฮาบของราคาน้ำมันไปสู่ 35 เหรียญต่อบาเรล, การอ่อนลงของอิสลามทั่วโลก, การค้าเกินดุลของสหรัฐและการค้าขาดดุลของจีน"
Kaplan จาก TrueContrarian.com ไม่เชื่อว่าทองคำจะรักษาการฟื้นตัวนี้ไว้จนกว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"เมื่อเฟดลดดอกเบี้ย จะทำให้การจ่ายดอกเบี้ยต่ำลง อัตราที่แท้จริงของผลตอบแทนลดลงจะทำให้ทองคำแข่งขันได้มากขึ้นจากการเป็น ทางเลือกในการลงทุน" เขาอธิบาย
Brien Lundin นักเขียนจาก Gold Newsletter ให้มุมมอง "อันตรายเบื้องต้น" ต่อภาวะกระทิงสำหรับทองคำ จากการที่ เกิดผลกระทบอย่างแรงในเศรษฐกิจเอเชีย "ซึ่งจะนำไปสู่ทั้งความต้องการใช้งานจริงจากฝั่งตะวันออก และ ตลาดกระดาษ(สัญญา)ในฝี่งตะวันตก ละทิ้งทองคำชั่วคราว" แต่เขาคาดว่าจะไม่เกิดขึ้น
สำหรับราคาน่าจะอยู่ราว 650-850 เหรียญในช่วงสิ้นปี ตามคำกล่าวของ Phillips.
อาจมีการซื้อขายกันในช่วง 800-900 เหรียญ ตอนสิ้นปี 2007 ตามข้อมูลจาก Value View Gold Report ของ Schmidt
และอาจถึงกระทั่ง 1400 เหรียญต่อออนซ์ ตอนสิ้นปี 2010